ปัญหาบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีลักษณะเรื้อรัง และทำท่าจะขยายลุกลามยิ่งขึ้น มีมูลเหตุสำคัญอยู่ที่ ทัศนคติของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ที่ถูกบิดเบือนโดยรายงานของทาง ราชการ ซึ่งมักจะเป็นภาพที่ถูกระบายสีเสียจนห่างไกลจากความเป็นจริง เมื่อทัศนคติของผู้มีอำนาจในระดับสูงถูกบิดเบือนเสียแล้ว ก็เท่ากับดวงตาของบุคคลระดับนั้นมีม่านมาบัง ! เหมือนคนใส่แว่นตาดำ มองฟ้าที่ใดก็เห็นมืดคลึ้ม คล้ายฝนจะตก พายุจะมาอยู่ร่ำไป ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ฟ้ากระจ่างแดดเปรี้ยง แต่คนใส่แว่นดำมองสภาวะอย่างนั้นไม่เห็น เพราะมีแว่นดำมาครอบตาเอาไว้ !
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดขณะนี้ ก็คือ ทัศนะของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้พูดชัดถ้อยชัดคำทีเดียวว่า เหตุร้ายต่างๆในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นแผน ของพวกโจรแบ่งแยกดินแดน จะตั้งรัฐอิสระปัตตานี พล.อ.ธรรมรักษ์ยังพูดไว้ชัดเจนว่า มีการวางแผนกำหนดเป้าหมายแน่นอนว่าอีก 1000 วันจะประกาศตั้งรัฐอิสระปัตตานี และจะมีการ “ปักธงเหนือตำหนัก “ แถมยังบอกว่ามีหลักฐานเป็นภาพถ่ายการฝึกเด็กหนุ่มมุสลิมในป่าแถวชายแดนภาคใต้กันแล้ว ! ต่อมาความก็ปรากฎว่าภาพการฝึกอาวุธเยาวชนมุสลิมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอ้างถึงนั้น แท้ที่จริงเป็นภาพถ่ายการเข้าค่ายของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ที่อำเภอปากช่อง นครราชสีมานี่เอง ! นี่คืออิทธิพลของข่าวกรองของทางราชการ ซึ่งมีความลุ่มลึกขนาดสามารถ”แหกตา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนัยว่าเติบโตมากับงานข่าวของสายทหารทีเดียว !
นอกจากนั้น “ข่าวกรอง” ของทางราชการบ้านเรา ยังเงอะงะงุ่มง่ามอยู่กับเรื่อง โจรแบ่งแยกดินแดน เพื่อตั้งรัฐอิสระปัตตานี แต่แนวคิดของฝ่ายมุสลิมหัวรุนแรงจนสุดขั้วของกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ หรือ เจไอ นั่นไปไกลกว่ารัฐอิสระปัตตานีมากมายนัก ! นายอาบู บาลาร์ บาเซอร์ ชาวอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นศาสดาใหญ่ของกลุ่ม เจไอ ได้วาดหวังไว้ว่า จะเอาดินแดนจังหวัดภาคใต้ของไทย รวมเข้ากับมาเลเซีย แล้วกลืนข้ามสิงค์โปร์ทั้งประเทศ ไปผนวกกับดินแดนของอินโดนีเซีย แล้วแถมรวมเอาเกาะตอนใต้ของฟิลิปปินส์เข้ามาด้วย รวมทั้งหมดแล้วจะนับว่าเป็นมหาอาณาจักรมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลกทีเดียว ! แต่ราชการไทยยังติดอยู่กับอดีต คิดแต่จะรบกับพวกโจรแบ่งแยกดินแดน ! พอดีพอร้ายเรากำลังจะต้อนให้คนของเรา ให้เข้าไปเป็นกำลังรวมกับพวก เจไอ ! คราวนี้แหละเรื่องจะได้บานปลาย ใหญ่โตเกินที่คาดคิด ! เราจะช่วยกันเนรมิตให้ พวก “โจรกระจอก” กลายเป็นมือเป็นเท้าจริงๆของ ขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ อย่างนั้นหรือ ?
เรื่องอาวุธร้ายแรงนั้นก็มีข่าวมาหลายปีแล้วว่า ทางบริเวณชายแดนภาคใต้เป็นแหล่งค้าอาวุธเถื่อนร้ายแรง ป้อนให้ขบวนการต่อสู้เพื่ออิสระภาพของแคว้นอาเจะห์ ในอินโดนีเซีย ทางรัฐบาลอินโดนีเซียได้เคยขอร้องให้ไทยเราจัดการปราบปราบพวกค้าอาวุธเถื่อนเหล่านี้เสียที ! แต่เราก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่อยมา ! ผมติดใจคำพูดของคุณเด่น โต๊ะมีนา สมาชิกวุฒิสภา จากปัตตานี ซึ่งปรากฎใน ไทยรัฐ หน้า 3 ฉบับ วันเสาร์ที่แล้ว ขออนุญาตยกคำกล่าวของคุณเด่นมาว่าไว้ในที่นี้อีกครั้งหนึ่ง คุณเด่นบอกว่า “ผมยังมั่นใจว่าเหตุการณ์เผาโรงเรียนที่เกิดขึ้น ผู้ก่อเหตุเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่เผาโรงเรียนเมื่อ 10 ปีก่อน ที่รัฐบาลยังจับไม่ได้ รวมทั้งการปล้นปืนที่จังหวัดยะลา กับการปล้นปืนในค่ายทหารที่จังหวัดปัตตานี นายกฯต้องเปรียบเทียบกันให้ดีว่า ทำไมถึงจับคนร้ายไม่ได้ ทั้งที่มีหลายคน แสดงว่าผู้ก่อเหตุต้องเป็นคนมีระเบียบวินัย ปกปิดความลับได้เป็นอย่างดี “ เมื่ออ่านคำพูดของคุณเด่นแล้ว จะเห็นได้ว่ามีอะไรเป็น “ม่านบังตา” ทำให้บิดเบือนทรรศนะของผู้มีอำนาจในแผ่นดิน ทำให้เกิดเป็น “หลุมดำ”ที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งใดขึ้นแล้ว ก็เหมือนตกลงไปใน “หลุมดำ” หายเงียบเป็นคลื่นกระทบฝั่งทุกครั้งไป !
ผมได้เคยเล่าในคอลัมน์นี้มาแล้วว่า ผมได้รู้จักและเป็นผู้ชักนำให้ทั้งอาจารย์เสนี มะดากะกุล และ อาจารย์วันมูหะมัดนอร์ มะทา เข้ามาในวงการเมืองเมื่อ พ.ศ. 2521 อาจารย์เสนี ได้ เป็น ส.ส.ที่นราธิวาส และอาจารย์วันนอร์ ได้เป็น ส.ส.ที่ยะลา ต่อมาอาจารย์เสนีได้ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน อันที่จริงผมก็เคยสนิทสนมกับอาจารย์ทั้งสองคนนี้ แต่สำหรับอาจารย์เสนีผมได้มีโอกาศแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองกันอยู่บ่อยๆ อาจารย์เสนี เป็นผู้ให้การศึกษาแก่ผมเรื่องแนวคิดของมุสลิมสมัยใหม่ ครั้งหนึ่งผมนั่งคุยกับอาจารย์เสนี ได้เอ่ยถามถึงเรื่องปัญหาทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าอะไรเป็นต้นเหตุจึงเกิดเรื่องร้ายแรงเรื้อรังไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน ! ผมจำได้ว่า อาจารย์เสนีหัวเราะอย่างอารมณ์เย็นตามนิสัยบอกว่า
“ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ข้าราชการในบริเวณนั้น เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีเครื่องแบบ เขาไม่ชอบพวกผม เพราะเห็นว่าพวกผมไม่ได้เป็นคนไทย เป็นพวกแขก เกิดเหตุอะไรร้ายแรงขึ้นมา เขาก็เอาพวกผมเป็นแพะไว้ก่อน ! “
“นอกจากนี้ “ อาจารย์เสนีกล่าวต่อไปว่า “บริเวณชายแดนภาคใต้ของเรานั้น มีการทำมาหากินกันไม่สุจริตกันเกลื่อนกลาด ไม่ว่าเป็นเรื่องค้าผู้หญิง ค้ายาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าอาวุธเถื่อน เรื่องเหล่านี้ ชาวบ้านธรรมดาๆอย่างพวกผม ไปทำหรือไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้หรอก ก็เป็นเรื่องของคนมีเครื่องแบบหนุนอยู่ข้างหลัง ทำกันทั้งนั้นแหละ เรื่องเหล่านี้มีผลประโยชน์มหาศาล ซึ่งพวกเขาจะต้องปกป้องและคุ้มครองกันเอาไว้ “
อาจารย์เสนีหยุดคิดอยู่สักครู่ แล้วว่าต่อไป
“ ผมว่าทางจะแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ให้เสร็จเด็ดขาดนั้นทำได้ แต่ต้องจัดการปราบปรามการทุจริตค้าของเถื่อนเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปเสียก่อน ทำให้แผ่นดินจังหวัดชายแดนของพวกผมสอาดใสกระจ่างเสียก่อน แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปได้เอง! “
อาจารย์เสนีพูดเรื่องนี้กับผม เป็นเวลานานกว่า 10 ปีมาแล้ว !แต่จนถึงบัดนี้สถานะการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยังขมุกขมัวเหมือนเดิม หรือจะยิ่งเลวร้ายลงก็ว่าได้ ! อันที่จริงนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ก็มีนโยบายปราบปรามยาเสพติดและปราบปราบผู้มีอิทธิพลเถื่อน ซึ่งก็น่าจะทำให้สภาพแวดล้อมของบ้านงบ้านเมืองในภาคใต้ใสสอาดขึ้น แต่จริงๆแล้วในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่น่าเสียดายว่านโยบายปรายปรามยาเสพติดก็ดี และนโยบายปราบปรามอิทธิพลเถื่อนก็ดี ได้ดำเนินไปอย่างเป็น “ผักชีโรยหน้า” เสียมากกว่า ฉะนั้นสถานะการณ์ในบริเวณชายแดนจึงยังขมุกขมัวเหมือนเดิม และผู้ที่ได้ประโยชน์มหาศาลจากกิจกรรมนอกกฎหมายต่างๆ ก็ประสงค์จะให้สภาพต่างๆของภูมิภาคนี้ยังคงมืดครึ้มขมุกขมัวอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ผมมีประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดถึงทรรศนะคติ “เกลียดแขก” ของข้าราชการ เฉพาะอย่างยิ่งผู้มีเครื่องแบบในบริเวณภูมิภาคนี้ เมื่อผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีโอกาศไปตรวจราชการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และเรื่องที่ผมสนใจคือเรื่องการสอนภาษาไทยในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่ง ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ตอนเย็น ในระหว่างกินอาหารร่วมกัน ซึ่งในโต๊ะที่ผมนั่งมีข้าราชการชั้นสูงของฝ่ายมีเครื่องแบบนั่งอยู่ด้วย เมื่อพูดถึงเรื่องการสอนภาษาไทยในโรงเรียน ท่านผู้นั้นได้พูดขึ้นว่า“อันที่จริงไอ้แขกพวกนี้ มันก็ฟังภาษาไทยออก พูดภาษาไทยก็พอได้ แต่เมื่อมันมาติดต่อกับพวกเราตามสถานที่ราชการมันก็แสร้งทำเป็นพูดไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง ! “ ท่านผู้นั้นยังพูดต่อไปด้วยว่า “ท่านรัฐมนตรีจะให้โรงเรียนสอนภาษาไทยได้ผลได้อย่างไร ก็ลูกหลานพวกมันพอกลับถึงเบ้าน มันก็พูดภาษาแขกกันทั้งนั้น ! “ ผมพูดขัดขึ้นด้วยอารมณ์ดีว่า “ทำไมในภาคอีสาน เรายังสามารถสอนภาษาไทยภาคกลางได้ ? ทั้งๆที่เด็กพวกนั้นพอกลับถึงบ้าน เขาก็พูดภาษาลาวเหมือนกัน ! “ ท่านข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีเครื่องแบบผู้นั้น หันมาขึ้นเสียงเขียวกับผมว่า “คนไทยในภาคอีสาน เขาพูดภาษาไทยสำเนียงอีสาน เขาไม่ได้พูดภาษาลาว ! “ นี่คือแนวคิดรักชาติแบบ บนผืนแผ่นดินไทยนี้ จะมีความแปลกแยกแตกต่างไม่ได้เลย ! ทุกอย่างต้องเป็นไทยหมด !
ตอนนี้มีข่าวว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปบัญชาการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยตัวเอง ผมมีข้อเสนอแนะท่าน 2 เรื่อง
เรื่องแรก ก่อนที่ท่านนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปภาคใต้คราวนี้ กรุณาให้เจ้าหน้าในทำเนียบจัดหา คอลัมน์ “ข่าวปนคน คนปนข่าว “ ของ เซี่ยงเส้าหลง ในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ที่ได้นำเอาคำพูดของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี พูดเมื่อสมัยเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มาลงซ้ำถึงสองครั้งสองหน มาให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้อ่านก่อนเดินทางไปภาคใต้คราวนี้ คำพูดของคุณปุระชัยที่ เซี่ยงเส้าหลง นำมาลงในคอลัมน์ครั้งนี้นั้น แสดงว่า คุณปุระชัย เป็นนักการเมืองในระดับสูงคนแรกในรัฐบาลชุดนี้ ที่สามารถแหวกม่านบังตา จนมองเห็นสภาพความเป็นจริงในบริเวณชายแดนภาคใต้มาแล้ว !
เรื่องที่สอง เห็นท่านนายกรัฐมนตรีบ่นว่า ชาวบ้านในบริเวณนี้ ไม่ยอมให้ความร่วมมือ เป็นหูเป็นตาให้ทางราชการ ผมมีคนรู้จักชอยบพอกันคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากไปทำธุรกิจในจังหวัดชายแดนเหล่านี้มาเล่าให้ฟัง เขาบอกว่าตอนนี้ในบริเวณจังหวัดชายแดน เต็มไปด้วยตำรวจทหาร ถือปืนลาดตระเวณกันทั้งกลางวันกลางคืน จนชาวบ้านอกสั่นขวัญหายกันหมดแล้ว ! ผมถามว่า ตำรวจทหารเหล่านั้นไปรังแกรบกวนชาวบ้านอย่างนั้นหรือ ? เขานิ่งแล้วส่ายศรีษะ บอกแต่เพียงว่า “ ไม่ใช่เช่นนั้น ! แต่ถ้าชาวบ้านคนไหนพูดมาก ทำตัวเด่นดังมาก พูดจามากนัก ตกกลางคืน ก็มีคนมาอุ้มเอาตัวไป คนพวกนี้ไม่เคยได้กลับมาเห็นหน้าลูกเมียอีกเลย ! “ เขาบอกว่าเรื่องคนถูกอุ้มหายไปในความมืดนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นรายสองราย แต่ระบาดไปทั่วทุกท้องที่ในจังหวัดชายแดน เขาบอกว่า เรื่องคนถูก “อุ้ม “ หายไปนั้น ก็คือการฆ่าตัดตอน ภาค 2 นั่นเอง ! แล้วท่านนายกรัฐมนตรีจะมาบ่นทำไมว่าชาวบ้านไม่ยอมให้ความร่วมมือเป็นหูเป็นตาให้ทางราชการ ! ถ้าเป็นหูเป็นตาให้แล้ว ตกกลางคืนถูก “อุ้ม”หายไป แล้วท่านนายกรัฐมนตรีจะช่วยอะไรได้ ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น