24/3/54

ความเป็นปรปักษ์ของชาวยิวต่อมุสลิม

ภาพวาดชาวยิวในอาณาจักรออตโตมาน อ้างจาก www.อาลีเสือสมิง.com

ชาว ยิวได้กล่าวอ้างอย่างไร้สาระว่าพวกตนคือชนชาติที่ได้รับการเลือกสรรจากพระ เจ้าและเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ ที่มิใช่ชาวยิวล้วนแต่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นทาสของชาวยิว ซํ้าร้ายพวกยิวยังได้อ้างอีกด้วยว่า พวกตนคือบุตรและผู้เป็นที่รักยิ่งของพระผู้เป็นเจ้า การมีมุมมองเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาทั้งในส่วนของยิวเองและมนุษยชาติโดยรวม และยังทำให้ความเมตตต่อพลโลกถูกปฏิเสธ ( رحمة للعالمي ) ออก ไปจากหัวใจของชาวยิว พวกเขาจึงมักไม่รีรอในการก่อสงครามกับชนชาติอื่นๆ และมีผลทางจิตวิทยาทำให้เกิดปมด้อยเกี่ยวกับความเชื่อว่าพวกตนคือชนชาติที่ ถูกคัดเลือกของพระเจ้าซึ่งทำให้มีความหยิ่งยโสมากขึ้นตลอดจนการปลีกตัวไม่ ข้องแวะสุงสิงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ พวกเขาจะไม่มองเรื่องราวต่างๆ ในมุมมองที่รวมเอาพวกเขาและประชาชาติทั้งหมดเข้าไว้ในความนึกคิด แต่จะมองชนชาติอื่นๆ เป็นมุมมองเฉพาะ (อัลหะเราะกะฮฺ อัลฟิกรียะฮฺ หน้า 208) ตั้งแต่สมัยท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ)ฮิจเราะฮฺไปยังนครมะดีนะฮฺแล้ว ที่ชาวยิวเป็นปรปักษ์กับอิสลามเสมอมา ก่อนหน้านี้ชาวยิวในนครยัษริบ (นครมะดีนะฮฺ) จะปฏิบัติกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นจากชนเผ่าเอาสฺและอัลคอสรอจญ์(เผ่าอาหรับในยัษริบหรือนครมาดีนะห์ประเทศซาอุดิอาราเบียปัจจุบัน) บนพื้นฐานที่ว่าพวกตน (ชาวยิว) มี ความโดดเด่นเหนือกว่าชาวอาหรับทั้งสองเผ่านี้ เพราะชาวยิวถือว่าตนคือผู้ได้รับคัมภีร์และมีความรู้ เลยยุแหย่ให้อาหรับทั้งสองเผ่านี้รบพุ่งกันไม่รู้จักหยุดหย่อน เพื่อให้พวกยิวเองได้มีอำนาจเหนือทั้งสองเผ่านั้นโดยปริยาย ท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ) ได้ มีพันธะสัญญาระหว่างท่านเองกับชาวยิวนับแต่ที่ท่านได้ลงพำนักที่นครมะดีนะ ฮฺด้วยการรับรองความปลอดภัยแก่ชาวยิวในเสรีภาพแห่งการถือในศาสนาของตนและการ ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ โบสถ์วิหาร ทรัพย์สินและสิทธิอันชอบธรรมและคงไว้ซึ่งความเป็นพันธมิตรของพวกเขากับชน เผ่าเอาวสฺและอัลคอสรอจญ์ ตลอดจนการช่วยเหลือและการคุ้มครองความปลอดภัยแก่ชาวยิว โดยมีเงื่อนไขว่าชาวยิวจะต้องไม่บิดพลิ้วหักหลังและประกอบสิ่งที่ชั่วช้า รวมถึงชาวยิวต้องไม่กระทำตนเป็นสายลับและให้การช่วยเหลือศัตรู แต่ในช่วงเวลาอันสั้น ชาวยิวก็ถือว่าการมายังนครมะดีนะฮฺของท่านนบี เป็นลางร้ายสำหรับพวกตนและเริ่มมองดูท่านด้วยสายตาที่หวาดระแวงและเกรงว่า ท่านจะสามารถสถาปนาความมั่นคงแห่งรัฐอิสลามที่เกิดขึ้นใหม่และการเผยแพร่คำ สอนของท่านจะเป็นที่แพร่หลาย อีกทั้งสร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างชนอาหรับทั้ง 2 เผ่าภายใต้การเป็นผู้นำของท่านนบี ซึ่งจะทำให้การบาดหมางอันยาวนานระหว่างชน 2 เผ่า ที่เป็นปัจจัยแห่งฐานอำนาจของชาวยิวยุติลง การณ์กลับกลายเป็นว่าชาวยิวมองเห็นว่าพวกตนมีสิทธิ รอคอยให้ท่านนบีนั้นเข้าร่วมกับฝ่ายตนดังที่โองการอัลกุรอานได้บอกให้ท่าน ศาสดาทราบว่า : พวกเขา(ชาวยิว) ได้กล่าวว่า จะไม่มีทางได้เข้าสู่สวนสวรรค์นอกจากบุคคลที่เป็นชาวยิวหรือคริสเตียน (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:111) และโองการที่ว่า: และพวกยิวตลอดจนพวกคริสเตียนย่อมไม่มีวันพึงพอใจต่อท่านจนกว่าท่านจะปฏิบัติตามแนวทางอันเป็นศาสนาของพวกเขา(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:120) และโองการที่ว่า : และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านจงเป็นยิวหรือคริสเตียนเถิด พวกท่านจักได้รับทางนา (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:135) ความเป็นปฏิปักษ์ศัตรูเยี่ยงจารีตระหว่างชาวยิวและศาสนาอิสลามมีรากเหง้า ย้อนกลับไปถึงยุคแรกแห่งการปรากฎขึ้นของศาสนาอิสลาม และนับตั้งแต่อิสลามได้รับชัยชนะและมีการเนรเทศชาวยิวออกจากนครมะดีนะฮฺของ ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลฯ) ซึ่ง เป็นผลมาจากความบิดพลิ้วสัญญาที่เกิดขึ้นซํ้าซาก และความเป็นศัตรูที่ไม่เคยสร่างซาของชาวยิวต่อรัฐอิสลาม และภายหลังชาวยิวได้ถูกเนรเทศอีกครั้งจากคาบสมุทรอาหรับทั้งหมดในสมัยท่านอุ มัร อิบนุลค็อฏฏอบ (..) เคาะลีฟะฮฺท่านที่2 และ อับดุลลอฮฺ อิบนุ สะบาอฺ ชาว เยเมนที่เข้าพบท่านอุษมานและขอจับมือกล่าวชาฮาดะฮฺ ก็โดนท่านอุษมานขับไล่ออกไปเช่นกัน อันเนื่องมาจากนิสัยที่ผู้คนรู้กันแต่เก่าแต่ก่อน ซํ้ายังเป็นหัวหน้าพวกยิวซึ่งควบตำแหน่งมุนาฟิกและต้นต่อแนวคิดลัทธิชีอะ ฮฺด้วยนั้น ด้วยความแค้น พวกยิวก็วางแผนการร้ายเพื่อทำลายล้างอิสลามให้หนักข้อมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ชาวยิวบางคนได้เสแสร้งเข้ารับอิสลามและแพร่พิษร้ายในเรือนร่างของประชาชาติ อิสลามตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ เนื่องเพราะชาวยิวเห็นว่าระบอบการปกครองแบบคอลีฟะฮฺเป็นเสมือนปิศาจร้ายที่ น่าสะพรึงกลัวและคุกคามต่ออนาคตของพวกตน
อ้างจาก วรสารสมิอนา วาอาตออนา 8 ปีที่ 3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น