22/3/54

10 แผนการตะวันตกทำลายล้างอิสลาม

10 แผนการตะวันตกทำลายล้างอิสลาม
เขียนโดย  :  อบูมูญาฮิด
บทนำ
          หลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออเพื่อหาแนวทางทำลายล้าง อิสลามและประชาชาติมุสลิม ในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจและเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้ วางไว้

          สาเหตุของสงคราม   มีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์ ถึงสาเหตุของสงครามนี้ทำไมที่พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม? เพราะเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางการทหาร ซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุดยุทธศาสตร์ หรือเพราะเหตุผลทางการค้า     หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้าเป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์     นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเองให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรมปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าว นั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนามิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด

         หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้    โอ้มารดา...     จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย  แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน  ฉันจะไปตริโปลี  ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉันเพื่อทำลายล้างอิสลาม     ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน     หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน     ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม     โอ้...มารดาเสียงกลองดังขึ้นแล้ว...มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ ?โอ้มารดา...ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉัดได้ไปเดี๋วนี้เถิด...     นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง
       
         รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า”เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรากับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศ เท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์ ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...”“เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวัน ออกนั้นก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและเพื่อก่อตั้งประเทศอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่น ๆ อีกแล้วนอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...

          ”อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า“การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า“โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”       

           พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติ มุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (อัลบะกอเราะ : 120)
         การสมาคมและการช่วยเหลือร่วมมือกันทำงานของพวกเขามีความกระชับแน่นมาก เราสามารถเห็นตัวอย่างจากสถานการของประเทศฮอลแลนด์ ยึดครองประเทศอินโดนีเซีย มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประเทศยากจนอย่างฮอลแลนด์ซึ่งอยู่คนละทวีป แต่สามารถปกครองคนหนึ่งร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามหมู่เกาะนับร้อยนับ พัน? และฮอลแลนด์สามารถกระทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกำลังอากาศจากอังกฤษ และความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริการได้หรือ? และเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อฮอลแลนด์อ่อนแอไม่สามารถเอาชนะจิตใจ ประชาชนได้เพราะการต่อต้านและการลุกฮือของประชาชนเจ้าของประเทศ อังกฤษจึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทันทีเช่นเดียวกันเมื่ออิสราเอล ไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกอาหรับ สามอภิมหาอำนาจใหญ่ในสมัยนั้น ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันทีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง ชื่อ มาเซีย บิโด ได้ให้คำยืนยันต่อการทำศึกที่โมร็อกโค ว่า “นั่นคือสงครามระหว่างไม้กางเขนกับพระจันทร์เสี้ยว”ในขณะเดียวกัน คริสเตียน ยิว คอมมิวนิสต์ ต่างก็ร่วมกันกินโต๊ะอิสลาม คอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ ชื่อ กิซิล ออรบากิสตาน (KIZIL ORBAKISTAN) ฉบับที่ 22 ปี 1952 ได้เขียนว่า“เป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของคอมมิวนิสต์ยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่าอิสลามอิสลามจะถูกทำลายถึงรากเหง้าของมัน”มิชชั่นนารีคริสเตียนคน หนึ่งกล่าวว่า
“พลังที่แฝงอยู่ในตัวของอิสลามนั้นมันเป็นอุปสรรคที่หนาเตอะต่อการขยายตัวของคริสเตียน”[/b]
muhtadeen alhaq:
แผนการทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิม
แผนการที่ 1 การล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม

            ตุรกีเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งนับว่าเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดมหาอำนาจหนึ่งของโลกเลยที่เดียวที่ ประวัติศาสตร์เคยรู้จัก

            ชื่อผู้ปกครองประเทศนี้ขึ้นต้นด้วยคอลีฟะฮฺ (KHALIFAH) เป็นที่รู้จักกันดีที่ปกครองแหลมอาหรับ อียิปต์  ชาม  อิรัค  และแอฟริกาเหนือ  คริสตศตวรรษที่ 16 นั้นพอที่จะเป็นสักขีพยานต่อมหาอำนาจอิสลาม   ที่เข็มแข็งและเป็นเอกภาพ  ซึ่งเคยเขย่าโลกตะวันตกมาแล้ว  และเคยขยายอาณาเขตถึงประเทศต่าง ๆ  ซึ่งปัจจุบัน คือ ประเทศโรมาเนีย  บัลกาเรีย  กรีซ ยูโกสลาเวีย  อัลบาเนียและฮังการี     ในขณะเดียวกันทะเลดำและทะเลกลางก็ตกเป็นของอิสลาม  ชื่อคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺในสมัยนั้นเป็นที่เกรงขามของโลกตะวันตก  และชาวคริสเตียนตะวันตก 

            นี่คือเหตุผลหลักที่ผลักดันให้พวกตะวันตกร่วมจับมือกันเพื่อทำลายล้าง  โค่นล้มรัฐบาลตุรกี  เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นในเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลตุรกีสิ้นอำนาจลง  เราลองมาพิจารณาข้อเขียนของ อัลอุซตาซ  มุหัมหมัด  ฮาบีบ  อะหฺหมัด  ในหนังสือของท่าน “ประเทศต่าง ๆ  ในตะวันตกได้ร่วมมือกันเพื่อเผด็จศึกกับคอลีฟะฮฺอิสลาม (แห่งตุรกี - ผู้แปล) และชาวคริสต์ตะวันตกได้ทำข้อตกลงที่จะทวนกระแสอิสลามที่กำลังไหลแรง  พวกเขาได้ทำสัญญาต่าง ๆ  และได้เตรียมกองกำลังเพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น  และเป็นที่น่าเศร้าใจในขณะที่บรรดาผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุษมานียะฮฺกำลังหลง ระเริงอยู่กับความฟุ้งเฟ้อ”

          สนธิสัญญาการร่วมมือก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วยประเทศออสเตรีย  โปแลนด์  และเวเนซูเอล่า  เป็นสนธิสัญญาที่สำคัญมากโดยมีเป้าหมายที่จะบดขยี้ตุรกี  และทำลายล้างอำนาจให้สิ้นซากไป  ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งกับตุรกีอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลทางศาสนาและด้วยเหตุผล ทางการศาสนาอีกนั่นเองที่รัสเซียเข้าผสมโรงด้วยโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติ ตะวันตก  พวกเขาประสบความสำเร็จในการจู่โจมและกระหน่ำจนกระทั่งตุรกีต้องเพลี่ยงพล้ำ และต้องเสียอำนาจในที่สุด

         เมื่อราชวงศ์อุษมานียะฮฺได้ล่มสลายลง  ประเทศอาหรับจึงตกเป็นของตะวันตกโดยสิ้นเชิงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเคยเป็น อวัยวะสำคัญของรัฐคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺ

         ในปี 1860 ฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติจากกลุ่มประเทศตะวันตกให้เข้ายึดครองเลบานอน  ในขณะเดียวกันอังกฤษได้เข้ายึดครองอียิปต์ในปี 1882 อิตาลีเข้ายึดครองตริโปลี ในปี 1911 หลังจากนั้นต่อมา ในปี 1917 อังกฤษได้เข้ายึดครองอิรัค  ต่อมาอีกไม่นานได้ยึดครองปาเลสไตน์  และในปี 1918 ฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดครองซีเรียได้อีกประเทศหนึ่ง

         เมื่อได้มีการประชุมสมัชชาในการทำสัญญาลูซอน (LUZON) เพื่อสันติภาพอังกฤษได้ให้เงื่อนไขแก่ตุรกีว่า  อังกฤษจะไม่คืนดินแดนส่วนต่าง ๆ  ของตุรกีนอกจากต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้
                 1.   ตุรกีต้องล้มเลิกระบอบคอลีฟะฮฺ  ขับไล่คอลีฟะฮฺออกนอกประเทศ  และยึดทรัพย์สินทั้งหมด
                 2.   ตุรกีจะต้องปราบปรามขบวนการต่าง ๆ  ทั้งหมดที่สนับสนุนระบอบคอลีฟะฮฺ
                 3.   ตุรกีต้องตัดสัมพันธ์ไมตรีกับโลกอิสลาม
                 4.   ตุรกีจะต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียใหม่และเลิกล้มรัฐธรรมนูญที่วางอยู่บนพื้นฐานอิสลาม

          ตราบใดที่เงื่อนไขรับดังกล่าวยังไม่ได้การยอมรับโดยตุรกีแล้วพวกเขาจะโจมตี ต่อไป  นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้ มุสตอฟา  กามาล  อะตาร์เตอร์ก ต้องกำจัดระบอบคอลีฟะฮฺ  ประเทศตะวันตกมีความคิดเห็นว่าชื่อ คอลีฟะฮฺนั้นสามารถปลุกพลังประชาชาติอิสลามให้ลุกฮือขึ้นมาได้  และก่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นมาใหม่ในกลุ่มได้  ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ตะวันตกโจมตีตุรกีอย่างไม่ลดละ  พวกเขาเพิ่งยุติการโจมตีเมื่อตุรกีได้ขจัดระบอบคอลีฟะฮฺและปิดโรงเรียน  สถาบันต่าง ๆ  ของอิสลาม   และต่อมาคำกล่าวที่ว่า ศาสนาแห่งรัฐาธิปัตย์ คือ อิสลาม  ได้ถูกลบออกไปจากรัฐธรรมนูญเมื่อนั้นการโจมตีจึงยุติลง

          ครั้งหนึ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษได้แถลงถึง ปัญหาเกี่ยวกับตุรกีในรัฐสภาอังกฤษ  มี ส.ส. จำนวนมากที่คัดค้านการให้เอกราชแก่ตุรกีด้วยเกรงว่าตุรกีจะกลับมามีอำนาจ  และโจมตีตะวันตกอีกครั้ง  รัฐมนตรีต่างประเทศได้ตอบโต้ว่า “เราได้ทำลายตุรกีอย่างสิ้นซากแล้ว  มันจะไม่เกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้วเพราะเราได้คร่าชีวิตของอิสลามและ คอลีฟะฮฺแล้ว”
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 2การลบล้างอัลกุรอ่าน
           ดังที่เราได้ทราบจากเนื้อเพลงปลุกใจของชาติตะวันตกในตอนต้นแล้วว่า  พวกเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง  เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน  เพราะพวกเขาตระหนักว่าอัลกุรอ่านเป็นที่มาของพลังแห่งประชาชาติอิสลาม

          และนี่คือคำยืนยันของแกลดสโตน (GLADSTONE) อีกครั้งหนึ่ง  ที่เขาได้ยืนยันว่า “ตราบใดที่อัลกุรอ่านยังอยู่ตราบนั้นตะวันตกไม่สามารถมีชัยชนะเหนือตะวันออก ได้  หากแต่ตะวันตกนั่นเองที่จะไม่มีความสงบ (ปลอดภัย)”

          อดีตผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในอาณานิคมอาหรับคนหนึ่งได้กล่าวปราศรัยในโอกาสครบ รอบหนึ่งร้อยปีแห่งการยึดครองอาณานิคมของตนว่า “เราจะต้องลบล้างอัลกุรอ่านที่เป็นภาษาอาหรับจากชาวแอลญีเรีย  เราจะต้องทำลายภาษาอาหรับออกจากลิ้นของพวกเขา  ในที่สุดเราก็สามารถยึดรองเขาได้”

          และผู้นำตะวันตกคนหนึ่งชื่อ วิลเลี่ยม  เจฟอร์ด (WILLIAM   JERFORD) ได้กล่าวว่า “เมื่ออัลกุรอ่านและเมืองมักกะฮฺได้หายไปจากสายตาของชาวอาหรับ   นั่นแหละเราจะได้เห็นชาติอาหรับมุ่งสู่อารยธรรมตะวันตก  และพวกเขาจะหันห่างจากมูหัมหมัด  และคำสอนของเขา”

          มิชชั่นนารีคริสเตียนชื่อ  ตอกเลย์ (TOKLEY) กล่าวว่า  “เราจะต้องใช้อัลกุรอ่าน  มันเป็นอาวุธที่ดีเลิศที่เราจะใช้ต่อสู้กับอิสลามและเราจะต้องชี้แจงแก่ มุสลิมว่า  ความจริงในอัลกุรอ่านนั่นไม่ใช่ของใหม่  และสิ่งใหม่ที่ปรากฏในอัลกุรอ่านนั้นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด”

           พวกเขาได้ครหาอัลกุรอ่านด้วยความมุสาต่าง ๆ  นานา  พวกเขาส่วนมากปฏิเสธว่า   ท่านนบีมูหัมหมัดได้รับวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ   พวกเขาได้โจมตีอย่างเหลวแหลกต่อสัญญาณต่าง ๆ  แห่งการประทานวะฮฺยูซึ่งมักจะเห็นชอบโดยซอฮาบะฮฺ

           บางคนมีทัศนะว่าสัญญาณการประทานวะฮฺยู (พฤติกรรมของท่านนบีในขณะรับวะฮฺยูนั้น) ที่จริงแล้วที่จริงแล้วเป็นการแสดงอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งที่สร้างความ เจ็บปวดแก่นบี และมีทัศนะว่าวะฮฺยูนั้นเป็นผลของการละเมอเพ้อฝันของท่าน   และบางคนกล่าวว่าวะฮฺยูนั้นเป็นอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งของท่าน (ขออัลลอฮฺทรงให้พวกเราห่างไกลจากการหลงทางนี้) 

           ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดที่เป็นยิวและคริสเตียนจึงยอมรับว่า  การมีอยู่ของศาสดาต่าง ๆ  คัมภีร์เตารอต (โตราห์) บทบาทและคำสอนของศาสดาต่าง ๆ  เหล่านั้นเหนือกว่าท่านนบีมูหัมหมัด  ฉะนั้นการแสดงออกถึงการปฏิเสธของพวกเขาจึงมิใช่สิ่งอื่นใด  นอกจากทัศนะที่เต็มไปด้วยความอคติทางศาสนาที่มีอยู่ในหัวใจลำเอียงอย่างพวก บาทหลวงและมิชชันนารี่

          แม้กระนั่นก็ตามเมื่อพวกเขาค้นพบสัจธรรมในอัลกุรอ่านโดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ  ของประชาชาติในยุคก่อน ๆ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่ได้รับการศึกษา  เขียนไม่ได้  อ่านไม่ออก  อย่างมูหัมหมัดจะรอบรู้  พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลอื่น ๆ  พอทำเนาและพยายามวาดภาพพจน์ด้วยความเขลาเบาปัญญาของตัวเองออกมาเช่นเดียว กัน  เมื่อพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงในกุรอ่านที่บ่งบอกถึงการค้นพบทางวิทยา ศาสตร์ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้  พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธอีกจนได้
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 3 ทำลายระบบจริยธรรม  ความคิด  ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้า และการปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
          แผนการณ์ที่ 3 มีความสอดคล้องต้องกันกับนโยบายของผู้นำตะวันตกคนหนึ่ง คือ ซามูเอล  ซูวัยเมอร์ (SAMUEL  ZUWAIMER) ขณะเดียวกันก็เป็นประธานสมาคมมิชชั่นนารีด้วย  เขาได้กล่าวในสภาคองเกรสมัลกิส  ในปี 1953 ว่า “ที่จริงแล้วหน้าที่ของมิชชั่นนารี่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลให้ทำงาน ในประเทศมุสลิมนั้น  ไม่ใช่เพื่อเชิญชวนมุสลิมให้เข้ารับนับถือศาสนาคริสหรอก  เพราะพวกเขาก็มีศาสนา และระบบความเชื่อถือของเขาอยู่แล้ว  ภาระหน้าที่ของพวกท่าน คือ ให้พวกเขาหันเหออกจากอิสลามเท่านั้น  และคลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระผู้เป็นเจ้า  ตลอดจนทำให้พวกเขาขาดความสนใจต่อมารยาท  จริยธรรม  ที่เขาเคยยึดถือมาตลอด...”

          “ท่านทั้งหลายจงเตรียมความคิดต่าง ๆ  ที่จะให้แก่โลกอิสลามให้พร้อม  เพื่อให้พวกเขายอมรับในวิธีการต่าง ๆ  ที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการ  คือ เพื่อเพิกถอนวิญญาณออกจากเรือนร่างของมุสลิม  ท่านทั้งหลายได้โปรดเตรียมไว้ให้พร้อมซึ่งกองกำลังของหนุ่มสาวที่ปราศจาก ความผูกพันธ้กับพระเจ้า   ด้วยวิธีการเช่นนี้  ที่ท่านทั้งหลายจะประสบความสำเร็จในการหันเหมุสลิมออกจากอิสลามแต่ก็มิได้ หมายความว่าพวกเขาจะเข้ารับนับถือศาสนาคริสแต่อย่างใด  โอ้บรรดานักเผยแพร่ทั้งหลาย  จงทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด...”

           และแล้วก็เกิดชนอิสลามรุ่นใหม่ที่เป็นไปตามความต้องการของจักรวรรดินิยม   พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักที่สำคัญของพวกเขา  พวกเขาชอบพักผ่อนปล่อยเวลาอย่างไร้สาระ  พวกเขาชอบอยู่เฉย ๆ  และแสวงหาสิ่งสนองตอบต่อความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา  แม้แต่การศึกษาก็มีเป้าหมายเพื่อเรื่องเซ็กส์  การแสวงหาทรัพย์ก็เพื่อเป้าหมายดังกล่าว  และแม้แต่เขามีตำแหน่งสูงเขาก็ใช้ตำแหน่งเพื่ออารมณ์เช่นกัน หากเรามองสังคมปัจจุบัน  เราก็สามารถเห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ  อย่างชัดเจนว่ามันเป็นไปตามความต้องการ  หรือแผนการของพวกเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน   พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น  จงสังเกตชนรุ่นใหม่ว่าจริยธรรมของพวกเขาเลวทรามลงแค่ไหน  มีเพียงชื่ออิสลามเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเขา  แต่วิญญาณ  พฤติกรรม  และวิถีชีวิตของพวกเขามิใช่มุสลิมเสียแล้ว
บทบาทในการทำลาย จริยธรรมประชาชาติอิสลามนั้นหาใช่ว่าถูกทำลายโดยชาวตะวันตกอย่างเดียวเท่า นั้น  แต่เป็นเจ้าของประเทศเองซึ่งถูกหล่อหลอมด้วยสีสันจากตะวันตก  บุคคลเหล่านี้แหละที่ทำงานเพื่อทำลายชาติของตนเอง  โดยผ่านสถาบันการศึกษา  หนังสือพิมพ์  ละคร  ภาพยนตร์  แฟชั่นการแต่งกาย  และพวกเขาพยายามสร้าง  คิดค้นกิจกรรมการกีฬาและการละเล่นที่สร้างความเพลินเพลินจนกระทั่งลืมพระผู้ เป็นเจ้า  ตลอดจนหันห่างผลักไสพวกเขาจากประตูมัสยิด  สุเหร่า  ห่างไกลจากมัจลิสอิลมีย์  และการศึกษาอิสลาม

          สถาบันเหล่านี้แหละที่เป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตชนรุ่นใหม่  เป็นผู้นำแนวความคิดที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามโดยอาศัยหน้ากากแห่งความ เจริญและทันสมัย  พวกเขาเหล่านั้นถูกเตรียมพร้อมสำหรับการรับใช้ตะวันตก  ในการเดินตามรอยของนักบูรพาคดีที่ได้หว่านล้อมทางเดินให้แก่พวกเขา    และพวกมิชชั่นนารี่ที่สร้างความวุ่นวาย  สับสนแก่ประวัติศาสตร์อิสลาม  บีบคั้นบทบาทของมันในประวัติศาสตร์ระดับชาติ  สร้างความรู้สึกต่ำต้อยแก่ประชาชาติอิสลาม

          มิชชันนารี่ตอกเลย์ (TAKLAY) ได้กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการสร้างสถาบันการศึกษาในแนวตะวันตก   เพราะปัจจุบันนี้มีมุสลิมจำนวนมากที่การศรัทธาของพวกเขาเกิดความเคลือบแคลง ต่ออิสลาม  และอัลกุรอ่าน สืบเนื่องมาจากพวกเขาได้ทำการศึกษาตำราต่าง ๆ  ของตะวันตก  และศึกษาภาษาต่างประเทศมาก”

           ลอร์ดโครเมอร์  ได้อธิบายถึงภาพพจน์ของยุทธวิธีที่จัดระบบโดย  ฝรั่งเศส   อังกฤษ และฮอลแลนด์ แก่ประเทศอิสลาม  เขาได้กล่าวว่า “เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากอังกฤษและตะวันตกพวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์ ระหว่างวัฒนธรรมและจิตใจของพวกเขากับประเทศชาติของพวกเขา   ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พบอุปสรรคในการเป็นสมาชิกของสังคมที่พวกเขาได้รับการ ศึกษามา  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโซซัดโซเซ”

           นี่คือเป้าหมายอย่างแท้จริงที่ชาวตะวันตก (กระทำกับมุสลิม) ไม่ว่าจะในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย  หรือการฝากนักเรียนไปสู่ประเทศยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ  นักเขียนคนหนึ่งชื่อ โจบราน  ได้ยืนยันว่า  เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนต่าง ๆ  ของอเมริกาจะได้เป็นสมุนของอเมริกา  นักศึกษาที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนซูซุยติก  พวกเขาจะเป็นทูตของฝรั่งเศสอย่างแน่นอน  ในขณะที่นักศึกษาที่สังกัดในสถาบันการศึกษาของรัสเซียเขาจะได้เป็นตัวแทนของ รัสเซีย

          ทัศนะดังกล่าวมีความถูกต้อง  เพราะประเทศตะวันตกได้ทำสงครามกับประเทศตะวันออกโดยเฉพาะอิสลามด้วยการส่ง ผู้เชี่ยวชาญ  มิชชันนารี่  นักบูรพาคดี  นักหนังสือพิมพ์  และสร้างศูนย์กลางที่ใหญ่โตในทุกเมืองหลวงของประเทศมุสลิม  โดยเน้นเป้าหมายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเขาให้แก่ชาวเมืองนั้น ๆ  แผนการที่เลวร้ายนี้ได้แทรกซึมไปยังโรงเรียน  มหาวิทยาลัย  ศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ  สถาบันสาธารณสุข  หนังสือพิมพ์  วิทยุ  โทรทัศน์  วีดีโอและภาพยนต์

          การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมตะวันตกที่อันตรายนี้ได้มีการทำงานกันอย่างเป็น ระบบ  เพื่อเข้าไปอยู่ในทุกส่วนแห่งคุณค่าอิสลาม  คุณค่าของอิสลามที่บริสุทธิ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นวัฒนธรรมที่ล้าสมัย  และภายในระยะเวลาอันนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกขาดการบริหารหนังสือ พิมพ์ต่าง ๆ  ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านอิสลาม   สื่อมวลชนเหล่านี้แหละที่พวกเขาได้ใช้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะแบ่งแยกความ คิดและจิตใจของมุสลิมออกจากคำสอนของอิสลามทุกรูปแบบ  จากคุณค่าที่วางอยู่บนพื้นฐานหลักเตาฮีด  ศีลธรรม  และความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ  และพวกเขาได้บรรจุสารพิษแห่งการปฏิเสธเข้าสู่สมองอันว่างเปล่านั้นในขณะ เดียวกันพวกเขาก็ใช้เทคนิคบิดเบือนให้เกิดความคลุมเครือ  กล่าวคือ การทำโครงการซึ่งมีลักษณะภายนอกเป็นอิสลามแต่แก่นแท้ คือ การบิดเบือนมุสลิมให้ไขว้เขวจากอิสลาม เช่น การประกาศใช้ชื่อ อิสลาม ในโครงการต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ดำเนินการ

          พวกเขามิได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้น  หากแต่เราเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ  ที่ตีพิมพ์โดยคนกลุ่มนี้  พวกเขาได้เสนอเรื่องที่ใช้ชื่ออิสลาม  แต่เนื้อหาโจมตีอิสลาม  และเมื่อเร็ว ๆ นี้  ได้เกิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งที่มีชื่ออิสลาม  แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือพิมพ์อื่นทั่ว ๆ ไป  ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพที่ไม่ได้ส่อแสดงถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามแม้แต่น้อย   ที่จริงแล้วการเกิดมาของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่าง ๆ  นี้มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน  คือ เพื่อทำลายจริยธรรม  ตลอดจนการให้สารพิษทางความคิดแก่มุสลิม  และกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวเองในขณะเดียวกันด้วย  และเบื้องหลังของเขามีนักการเมืองซึ่งคอยหวังผลประโยชน์จากการทำงานของสื่อ มวลชน  เพื่อเพิ่มพลังอิทธิพลและรักษาเก้าอี้ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป

          แต่ในขณะเดียวกันก็มีนิตยสารที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่บริสุทธิ์  เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อิสลามที่แท้จริง  และต่อต้านสิ่งมุงกัรทั้งหลายทุกรูปแบบที่ปรากฏ  ในที่สุดสำนักพิมพ์เหล่านั้นก็จะสูญหายไปที่ละสำนัก ๆ  หนำซ้ำยังถูกตีตราว่ามีความงมงาย  และสร้างความแตกแยกแก่สังคม   หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ  ที่พวกกาฟิรจากตะวันตกอยู่เบื้องหลัง  นับวันจะเติบโต  และสามารถยืนหยัดอยู่ได้   พวกเขาได้ดำเนินการในทุกรูปแบบและทุกแง่มุม  ช่วงแรกของขบวนการเหล่านี้ชาวตะวันตกเป็นผู้ทำงานเอง   แต่ต่อมาภาระหน้าที่เหล่านี้ถูกมอบหมายให้กับนักเรียนมุสลิมเพื่อให้เจ้า ของประเทศยอมรับโดยปราศจากความลังเลใด ๆ     นักเรียนเหล่านี้แหละที่มีบทบาทในการนำ  เผยแพร่ปรัชญาสมัยใหม่ ๆไปสู่ชาวพื้นเมืองโดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) นั้นเป็นขบวนการต่อต้านศาสนาและคุณค่าแห่งจิตวิญญาณ

           ตามทัศนะของมัรยัม   ญะมีละฮฺ  ในหนังสือของเธอ “อิสลามและมอร์เดริ์นนิสม์” ว่า “หากจะเปรียบขบวนการมอร์เดริ์นนิสม์ก็เป็นเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง  และกิ่งก้านของมันก็คือลัทธิต่าง ๆ อันประกอบด้วย  คอมมิวนิสต์  สังคมนิยม  ทุนนิยม  ฟาสซิสต์ เป็นต้น”

ลักษณะของขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การปฏิเสธวันปรโลก  บาปบุญ  และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น  ฉะนั้นจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีความสนุกสนาน  เพลิดเพลินทางร่างกาย  และวัตถุเท่านั้น  โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าแห่งอะกีดะฮฺและจริยธรรม
2. บูชาในความคิดและเหตุผลของมนุษย์   อำนาจทางวิทยาศาสตร์ถูกทำให้เหนืออำนาจของพระเจ้า
3. ชาตินิยม  เป็นลักษณะสำคัญของขบวนการนี้  ซึ่งมันได้ให้การยกย่องและหยิ่งทะนงต่อประชาคมของตัวเองและปลูกฝังความ รู้สึกเกลียดชังแก่กลุ่มอื่น ๆ 
4. มอร์เดริ์นนิสม์  พยายามที่จะทำลายระบบครอบครัว  (ลดบทบาทสถาบันครอบครัว) คาร์ล  มาร์กซ์  ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า 
“เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์กำจัดระบบครอบครัวให้สูญสิ้นด้วยวิธีการ 3 ประการ คือ
-   ขยายโรงงานอุตสาหกรรม
-   ขยายสังคมเมือง
-   ให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรี”

          ทั้ง 3 ประการนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน  โดยนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน  คือ การทำลายสถาบันครอบครัว  เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมได้เปิดรับคนเข้าทำงานและให้ค่าแรงงานที่คุ้มค่า  ทำให้สตรีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมือง  และเมื่อทั้งสามี  ภรรยา  ต่างออกทำงานนอกบ้าน  ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เช่น ปัญหาการหย่าร้าง  ครอบครัวขาดความอบอุ่น เพราะต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
เมื่อ บิดาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะในด้านการอบรม เลี้ยงดูและการให้ความรักแก่ลูกของตน  แม้พวกเขาจะส่งศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรืออนุบาลก็ตาม  สถาบันเหล่านั้นไม่สามารถที่จะให้ความอบอุ่นได้เท่าเทียมที่พ่อแม่หยิบยื่น ให้  สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กและนี่คือต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เยาวชนขาด จริยธรรม  ซึ่งมีผลต่อสังคมโดยส่วนรวม

          สโลแกนเรียกร้องสิทธิของสตรีก็มีบทบาทอีกเช่นกันในการทำลายสถาบันครอบครัว ให้อ่อนแอลง  สตรีปัจจุบันมักจะคล้อยตามกับสิ่งล่อใจ  นิตยสารบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ  ที่สนับสนุนให้ต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณี  แม้ภายนอกเราเห็นถึงการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสามารถให้ความเป็นธรรมแก่สตรี ได้  แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันได้ทำลายวิถีชีวิตของสตรีเองต่างหาก  เพราะสตรีเองกลายเป็นเครื่องมือทางการค้าธุรกิจ  เพื่อกอบโกยผลกำไรของกลุ่มประโยชน์ (นายทุน) ด้วยวิธีการต่าง ๆ  เช่น การโฆษณากิจการโสเภณี  เป็นต้น นี่แหละนี่สาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมทรามทางด้านจริยธรรมของสังคม  ทำให้เกิดบุตรนอกสมรส  โรคทางเพศ  การกดขี่  การเข่นฆ่า  และอาชญากรรมอื่น ๆ
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 4แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
          มิชชันนารี่คนหนึ่ง ลอเรนซ์  บราวน์  ได้กล่าวว่า  “หากประเทศมุสลิมในโลกอาหรับมีความสามัคคีเป็นเอกภาพกัน  แน่นอนพวกเขาจะกลายเป็นซุงโลกขึ้นมาทันที  แต่หากพวกเขาแตกแยกกันพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าใด ๆ   และไม่มีอิทธิพลใด ๆ  อีกเลย  ปล่อยให้อาหรับและมุสลิมแตกแยกกันเถิด เผื่อว่าอำนาจจะได้หลุดไปจากพวกเขา”
   
          ความเป็นเอกภาพของมุสลิมทั้งโลกเป็นสิ่งที่ตะวันตกเกรงกลัวยิ่งนัก  เพราะพลังของมุสลิมนั้นตะวันตกไม่สามารถต้านทานได้ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ ความจริงข้อนี้ด้วยการสองอภิมหาอำนาจโลก  โรมันและเปอร์เซียถูกโค่นล้มอย่างราบคาบมาแล้ว

          ในปี 1907 ได้มีการประชุมใหญ่ทั่วประเทศตะวันตก  ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นักปรัชญา  นักการเมือง  ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเป็นประธาน ในการปราศรัยเขาได้กล่าวว่า “อารยะธรรมตะวันตกถูกโจมตีต้องประสบกับความเสียหายและสาบสูญไปในที่สุด ฉะนั้นเราต้องหาวิธีการที่ได้ผลเพื่อผดุงไว้ซึ่งอารยะธรรมของเราจากความเสีย หาย”

          การประชุมดังกล่าวนั้นมีผลสรุปว่า  จะต้องมีการวางแผนการให้มีการจัดตั้งกลุ่ม  สมาคม  ชมรม  หรือองค์กรใด ๆ  ในประเทศตะวันออกไกล  เพราะหากประชาชาติอิสลามมีความเป็นเอกภาพแล้ว  จะเป็นอันตรายต่ออนาคตของตะวันตก  และในการประชุมสมัชชาดังกล่าวอีกเช่นกัน  ได้มีมติเอกฉันท์ว่า     จะต้องสร้างประเทศกลุ่มชาตินิยมตะวันตก  ในประเทศตะวันออกของคลองสุเอซ  เพื่อต่อต้านอาหรับมุสลิมและสร้างความแตกแยกให้แก่กลุ่มโลกอาหรับ

          ด้วยเหตุนี้เองอังกฤษจึงได้ร่วมมือกับยิว  เพื่อต่อสู้ร่วมกันในการสถาปนาประเทศอิสราเอลในแผ่นดินปาเลสไตน์  จากประการดังกล่าวนี้โยงใยไปสู่การประกาศอิสรภาพจากความเป็นอาหรับและอิส ลาม  ได้มีการกล่าวถึงสโลแกนต่าง ๆ  ที่มีการกล่าวขานกันว่า อาหรับ อารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียน  และอียิปต์มีความสัมพันธ์กันและเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก  ได้มีการเผยแผ่ความคิดเหล่านี้โดบผ่านสื่อมวลชน  สร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมาใหม่  ชาตินิยมฟาโรห์  โพเนเชียน  และอัสซีเรียน  ซีเรีย  อิรัค  ชาตินิยมเผ่าพันธ์  กลุ่ม  เผ่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา   ทันใดนั้นประเทศที่ปกครองด้วยความร่วมมือของสมุนของมันก็ร้อนเป็นเชื้อ เพลิงปลุกพลังชาตินิยมขึ้นมาทำลายเอกภาพของประชาชาติทันที โปปซีมอน(POPE SIMON) กล่าวว่า “เอกภาพของประชาชาติอิสลามนั้นเป็นความหวังสูงสุดของประชาชาติของมัน  และมันเป็นวิถีทางที่จะทำให้เขาหลุดออกจากอำนาจตะวันตก (โซ่ตรวนของตะวันตก) ณ จุดนี้เองบทบาทของมิชชันนารี่จึงมีความสำคัญมากในการตัดทอนพลังของมุสลิม  ด้วยเหตุนี้เอง  เราสมควรที่จะขัดขวางกระแสความเป็นเอกภาพของพวกเขาด้วยขบวนการมิชชันนารี”
แผนการที่ 5สร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา
           ในหนังสือ”สภาของผู้ทำงานเพื่อพระคริสต์” ได้เขียนว่า “มุสลิมได้อ้างว่าคำสอนของอิสลามนั้นจะครอบคลุมในการสนองตอบแก่สังคมมุสลิม ในทุกแง่มุม  ฉะนั้นมิชชันนารีจะต้องต่อต้านอิสลามด้วยอาวุธทางความคิดและจิตวิญญาณ”

           เพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น   นักบูรพาคดีจึงได้มุ่งวิเคราะห์เจาะจงอิสลามว่าพวกเขาได้ศึกษาอิสลามอย่าง ลึกซึ้ง  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ส่งมิชชันนารี่คริสเตียนไปสู่ประเทศมุสลิมทั่ว ประเทศ   โดยผิวเผินแล้วพวกเขาส่งไปทำหน้าที่แห่งมนุษยธรรม เช่น การสร้างโรงพยาบาล  ศูนย์สงเคราะห์ประชาชน เป็นต้น  แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเบ้าหลอมที่จะบิดเบือนหลักอะกีดะฮฺของประชาชาติ อิสลาม

            พวกเขาได้หว่านโรยความดีนั้นไว้  จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง  ประชาชาติได้ติดบุญคุณ  ก็จะรู้สึกผูกพัน  ในวิธีนั้นแหละถึงเวลาที่จะต้องจูงใจบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาหรือเป็นมุ รตัด กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งของพวกเขา คือ การปราศัย  บรรยายทางวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับสูง  มหาวิทยาลัยต่าง ๆ  และกรมวิชาการ  และทีพวกเขาถูกเชื้อเชิญโดยฝ่ายที่มีอำนาจที่มีความสึกต่อต้านอิสลาม  โดยมีเป้าหมายที่จะกีดกั้นการฟื้นฟูอิสลาม  เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วในเรื่องนี้

           ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามแผ่ขยายกว้างขวางในสถาบันการศึกษาระดับสูง จนก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทียนต่อญาฮีลียะฮฺที่มีอยู่ก่อนแล้ว  กลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่อิสลามดั้งเดิม  ในการปราบปรามกลุ่มเหล่านี้  ฝ่ายผู้ปกครองก็ได้เชื้อเชิญนักบูรพาคดีซึ่งก่อนนี้เคยมีเชื้อเสียง  ในหน้าหนังสือพิมพ์  ในนามนักคิดอิสลามที่มีชื่อเสียง  พวกเขาเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาที่พวกเขาไม่อาจดำเนินการได้  นักคิดดังกล่าวนั้นอันตรายอย่างที่สุด  และเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลาม
  
           สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศอาหรับ เช่น ไคโร ดามัสกัสแบกแดด ราบัต ลาฮอร์ การาจี อาลีฆา และ (ไม่ยกเว้น) มาเลเซีย

           ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เสนอบทความและข้อเขียนของพวกเขาในหนังสือต่าง ๆ  ดร.มุสตอฟา   อัลคอลิดีย์  ได้เขียนในหนังสือของท่าน Missionaries and Twipenalisme ว่า “บรรดามิชชันนารี่คริสเตียน  ได้ยืนยันว่าพวกเขาสามารถควบคุมหนังสือพิมพ์ของอียิปต์  เพื่อถ่ายทอดแนวคิดของคริสเตียน   และการบรรจุข้อเขียนนั้น  พวกเขาเป็นผู้ออกทุนเอง” นอกจากนี้แล้วพวกเขายังได้จัดทำสารานุกรม Encyclopedia of Islam ในภาษาต่าง ๆ พวกเขาได้สอดแทรกข้อมูลปลอม ยาพิษ และการฉ้อฉลต่ออิสลาม  ซึ่งน่าเป็นที่น่าเวทนาที่สารานุกรมดังกล่าวนั้นกลายเป็นแหล่งอ้างอิงของนัก วิชาการของพวกเราได้นำข้อมูลมาใช้ในการอ้างอิงและการวิเคราะห์
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 6 ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
          โมโร  เบอเกอร์  ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ  “โลกอาหรับ” ว่า “ประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ว่า  พลังของอาหรับก็คือพลังของอิสลาม  ฉะนั้นจงทำลายล้างอาหรับให้เสื่อมลง  ความเสื่อมของพวกเขานั้นเองแหละที่จะทำลายอิสลาม(อีกครั้งหนึ่ง)”

           แผนการนี้เป็นแผนการที่เด่นมากในขณะนี้  เราจะสังเกตเห็นได้จากโลกอาหรับว่า  ประเทศเหล่านั้นถูกล้อเลียนโดยมหาอำนาจตะวันตกเพียงใด  พวกเขาทำสงครามด้วยกันเองในขณะเดียวกันที่ผู้กอบโกยกำไรจากการขายอาวุธ คือ ประเทศตะวันตก 

          การศึกษาภาษาอาหรับ  กลับไม่ได้รับความสนใจ  ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาต้องการสร้างชนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ภาษาอัลกุรอ่าน   และแยกตัวออกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  และความรู้เกี่ยวกับอิสลามที่แท้จริง สำหรับชาวอาหรับที่วางรากฐานอยู่บนพื้นฐานอิสลาม   และอัลกุรอ่าน  ถูกค้นพบว่า  รากฐานของระบบชีวิตของชาวอาหรับนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงหรือรับวัฒนธรรมภาย นอก (ต่างชาติ) ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ฝ่ายปรปักษ์ได้มุ่งความพยายามของพวกเขาไปสู่การทำลาย รากฐานดังกล่าว  และพวกเขาได้เปลี่ยนเข็มของชาวอาหรับไปสู่สิ่งใหม่ ๆ  ซึ่งนำไปสู่การทำลายเอกลักษณ์ของตัวเอง  ตลอดจนบังคับพวกเขาให้เปิดโอกาสให้กับอิทธิพลจากต่างชาติ  ฉะนั้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ประเทศเหล่านั้นจึงตกเป็นอาณานิคมทางความคิดไป

          โมโร  เบอเกอร์  ได้ยืนยันในหนังสือของเขาว่า “ความระวังของเราต่อโลกอาหรับและที่เราได้ให้ความสนใจต่อพวกเขานั้น  มิใช่เพราะปีโตรเลี่ยมที่พวกเขามี หากแต่เพราะอิสลามที่เขามีต่างหาก” “ภาระหน้าที่ต่อสู้กับอิสลามก็เพื่อที่จะขัดขวางการเกิดมาของภาคีอาหรับ  เพราะพลังของกลุ่มอาหรับ  จะเคียงข้างพลังของอิสลาม...   การแผ่ขยายของอิสลามได้สร้างความแปลกประหลาดแก่เรา  ที่อิสลามสามารถแผ่ขยายในอัฟริกาอย่างงายดาย...”
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 7 สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
         นักบูรพาคดีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ดับบลิว เค สมิธ (W.K.SMITH) ซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องได้กล่าวว่า “หากปลดปล่อยมุสลิมให้อิสระ (ให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิม) และให้พวกเขาอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย  อิสลามจะครอบครองประเทศนั้นอย่างแน่นอน  ดังนั้นโดยระบอบเผด็จการเท่านั้นที่สามารถขัดขวางการเผยแผ่ขยายของอิสลาม ได้”

         บรรณาธิการนิตยสารไทม์ (TIMES) ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา “การเดินทางของเอเชีย” ให้ผู้เสนอแนะแก่ผู้นำอเมริกา  เพื่อให้สร้างรัฐเผด็จการทหาร  เพื่อที่จะได้ขัดขวางการขยายตัวของอิสลามต่อประชาชาติของเขา และพวกเขามีความหวาดกลัวว่ามันจะขยายอิทธิพลถึงโลกตะวันตกวัฒนธรรมและ อาณานิคมของเขา  แม้ว่าประเทศตะวันตกจะให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิมก็ตาม  แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมิได้หมายความว่าเป็นเอกราชที่สมบูรณ์  เพราะสิ่งที่พวกเขาได้สร้าง (ทอดทิ้ง) ไว้ในรูปของระบบ  กฎหมาย  ปรากฎชัดว่ายังเป็นประโยชน์แก่พวกเขา  ข้าทาสที่พวกเขาได้ฝากความไว้ได้ทำหน้าที่ให้แก่พวกเขาต่อไป ทั้งที่พวกนั้นเป็นลูกหลานก็ตาม

         ระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ตกทอดเอาไว้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้าง อะกีดะฮฺของประชาชาติอิสลาม   เพราะความหมายของประชาธิปไตยก็คือการยึดถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน  กล่าวคือ  ทุกคนในท้องที่มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน  และสามารถคิดค้นกฎหมายตามความต้องการของพวกเขาที่ผ่านมาแล้วนั้น  เราได้วิเคราะห์ 2 ระบบที่กล่าวมา  เราสรุปได้ว่า  ระบบเซคคิวลาริสม์ (SECULARISM) เป็นการปลดปล่อยมนุษย์จากการสักการระบูชา  การจำนน  และเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ  ตลอดจนถึงลักษณะทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้ว  ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของตัวเอง  โดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น   และในขณะเดียวกันที่ระบบ ชาตินิยม (NATIONALISM) กลับสร้างความตระหนี่  หยิ่งยะโสและเห็นแก่ตัว  และมองผู้อื่นอย่างดูแคลน  หลังจากนั้นก็เกิดระบบประชาธิปไตย  ยิ่งเพิ่มความหยิ่งยะโสให้กับมนุษย์ที่ถูกมอมเมาด้วยชาตินิยมอยู่แล้วเข้าไป อีก  แทนที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพวกเขาเขาได้สร้างกฎหมายอื่นขึ้นมา  บรรดาผู้มีอิทธิพลได้ใช้รัฐบาล  และกองกำลังความเข้มแข็งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเขาได้วาง ไว้  นี่คือ  ระบอบเผด็จการ  ซึ่งประเทศมุสลิมส่วนมากกำลังดำเนินการ  รวมทั้งมาเลเซียด้วย
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 8 แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจากตะวันตก
           ในปี 1952 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสได้ชี้แจงว่า “เราจะอำนวยทุกสิ่งทุกอย่างตามที่โลกอิสลามปรารถนา และเราจะกระตุ้นมิให้พวกเขาผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีจนกระทั่งพวกเขายืนขึ้นไม่ได้  แต่ถ้าหากเราล้มเหลวในจุดประสงค์นี้  อันหมายถึงการปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในความล้าหลังและความโง่เขลา  และความรู้สึกมีปมด้อย  แน่นอนที่เดียวว่าเราจะต้องเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง  โลกอาหรับและพลังทั้งมวลของอิสลามที่ยิ่งใหญ่และอันตรายนั้นจะทำลายโลกตะวัน ตก  และบทบาทชี้นำโลกที่อยู่ในมือของพวกตะวันตกก็จะต้องยุติลง”

           “โลกมุสลิมมีความเป็นตัวของตัวเอง  พวกเขามีมรดกตกทอดเป็นของเขาเองและมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง  พวกเขามีความสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้แก่โลก  โดยไม่ต้องอาศัยจากตะวันตกเลย  เมื่อใดที่พวกเขาสามารถสร้างตนเองทางด้านอุตสาหกรรมที่ขวางกั้นแล้ว ไม่ใช่ด้วยความเข้มแข็งของพวกเขากระนั้นหรือที่ทำให้โลกตะวันตกพ่ายแพ้หลับ ใหลในฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”

          ด้วยเหตุนี้พวกตะวันตกพยายามที่จะกดขี่ทางด้านอุตสาหกรรมของประชาชาติอิสลาม นี่แหละเป็นปัจจัยให้พวกเขาร่วมมือกันทำงานกับเรา  โดยมีเป้าหมายเพื่อระบายสินค้าที่พวกเขาผลิตขึ้นมา  และซื้อของจากเราไปในราคาที่ต่ำมาก
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 9 กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม  และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติมุสลิมให้สิ้นสุดลง
        จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสามารถและความพยายามของบรรดานักคิดอิสลามนั่นเอง ที่จะปลุกร้าวประชาชาติอิสลามให้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง  ดังที่เราสามารถเห็นได้จากการเกิดขึ้นมาของบรรดานักคิดรุ่นใหม่  และนักต่อสู้เพื่ออิสลาม  พวกเขากลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทของการญิฮาด  เพื่อที่จะเรียกร้องให้อิสลามกลับมาใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสิทธิของ มัน  หลังจากที่อิสลามได้หายไปเป็นเวลานานพร้อม ๆ กับความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม  และความคร่ำครึของนักปราชญ์  อุลามาอฺ  และนี่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นกลัวของชาวตะวันตก  ดังที่ได้รับการยอมรับโดยอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบน โกเรียน (BEN GORIEN) “บรรดาสิ่งที่เราเกรงกลัวก็คือการกำเนิมุหัมหมัดคนใหม่ในโลกอิสลาม” และเอ  เอ  กิ๊บ ได้เขียนในหนังสือของเขาว่า“ขบวนการอิสลามได้เปลี่ยนแปลงรูปใหม่  จากธรรมดากลายเป็นรูปใหม่ที่น่าเกรงขาม  มันผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน  ชนิดไม่มีสัญญาณขึ้นมาให้เห็นเลย  มันได้สร้างความงงงวยแก่ผู้ที่เฝ้าสังเกตมัน  ขบวนการอิสลามมิเคยสูญสิ้น  อะไรจะเกิดขึ้นหากมี ซอลาฮุดดีน  อัลอัยยูบีย์  คนใหม่ได้กำเนิดขึ้นมา”

         เช่นเดียวกับนักบูรพาคดี มอนเตอร์โกเมอรี่  วัตต์ (MONTEGOMERY   WATT) ได้แสดงความวิตกกังวลในหนังสือ London  Times ว่า “เมื่อมีผู้นำที่มีความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอิส ลาม  มันเป็นไปได้ที่ศาสนานั้นจะผุดขึ้นมากลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ใน โลกนี้อีกครั้งหนึ่ง” เพราะการเกิดใหม่ของอิสลามนั้น หมายถึง เคราะห์กรรมของชาวตะวันตกที่ต้องประสบภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวง  ซึ่งอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายของพวกเขา  ความรู้สึกหวาดผวา  และวิตกกังวลนี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตผู้ปกครองประเทศเผด็จการโปรตุเกสว่า “ข้าพเจ้ามีความวิตกว่า   จะมีผู้นำใหม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม  ซึ่งจะต่อต้านการเคลื่อนไหวของเรา และจะต่อต้านเราอีก” จากหลักฐานดังกล่าว  ตะวันตกจึงได้ร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายในการทำลาบล้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ อิสลามโดยการสังหารผู้นำของพวกเขาแม้ว่าพวกเขามิได้มีส่วนร่วมโดยตรงในแผน การดังกล่าว  แต่สมุนรับใช้ของพวกเขานั่นแหละที่เป็นผู้ปฏิบัติการ  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเข้มงวดในทุกหนทุกแห่งที่มีขบวนการอิสลามเคลื่อน ไหวอยู่เราคงไม่เคยลืมเหตุการณ์การปฏิบัติการของอังกฤษในการเข่นฆ่าผู้นำ  และทำลายขบวนการของ เชคมุหัมหมัด  อับดุลวาฮับ  ในคาบสมุทรอาหรับ  ขบวนการของเชค อุษมาน  และโฟดิโอในประเทศไนจีเรีย  และขบวนการมะฮฺดีแห่งซูดาน แล้วเราไม่เคยเห็นดอกหรือถึงการปฏิบัติการของพวกเขาที่ได้เชิดหุ่นรัฐบาล อียิปต์ ที่เซคคิวลาร์ (แบ่งแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร)  โซเซียลิสม์ (สังคมนิยม) เอียงซ้าย  คอมมิวนิสต์เพื่อทำลายขบวนการอิควานนุลมุสลีมูน
แผนการที่ 10 ทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี
       แผนการที่ 10 เป็นแผนการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากบรรดาแผนการที่ตะวันตกทำลายอิส ลาม  ได้รับคำยืนยันอย่างภาคภูมิใจจาก แอนท์   มาลีคัม (Ant   Maligam) ว่า “เราประสบความสำเร็จในการรวบรวมบรรดาหญิงสาว (นักเรียนหญิง) ในระดับมัธยมและระดับสูงทุกชั้นปี  ในวิทยาลัยตะวันตกในไคโร  ไม่มีที่ใดที่เราสามารถรวบรวมหญิงสาวมุสลิมได้มากเท่านี้  เพราะไม่มีวิธีการใดที่ใกล้กว่านี้อีกแล้วในการทำลายป้อมปราการอิสลาม”

        การแทรกแซงทางการศึกษาเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดของตะวันตก  ในการลบล้างอะกีดะฮฺอิสลาม ในขณะเดียวกันก็เบี่ยงเบนพวกเขาให้หันออกจากอิสลาม  บางคนต้องออกจากสามี  หรือเพื่อนๆ พวกเขาใช้สตรีเป็นเครื่องมือในการทำลายเอกลักษณ์ของสังคมมุสลิม

          หากเราพิจารณาจากแฟ้มประวัติศาสตร์แล้ว  เราจะพบกับความเสื่อมเสียและความล่มสลายของชาติใดชาติหนึ่งหรือประเทศใด ประเทศหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยสตรีเป็นเหตุเสมอเราจะพบเห็นบ่อย ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในเรื่องการมั่วสุมกับสตรีของบุคคลระดับประเทศ  ในที่สุดก็ต้องเสียตำแหน่งของตัวเองไป  เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย  มันช่างสอดคล้องกันเหลือเกินกับคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ) ว่า “จะไม่มีภัยพิบัติใดสำหรับชาย  หลังจากฉัน (เสียชีวิต) ยิ่งไปกว่าสตรี”

          จากการรายงานข่าวจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนรายงานว่า  พวกผู้นำยิวได้เปิดทางให้หนุ่มอาหรับได้สังคมกับหญิงชาวยิวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งบริเวณชายหาด  และสนับสนุนให้หญิงชาวยิวได้ผิดประเวณักับหนุ่มอาหรับ  และในเขตพื้นที่ที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่  ก็จัดส่งภาพยนตร์ลามก  สร้างสถานอาบอบนวด  ดิสโก้เธค  ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อทำลายจริยธรรมของประชาชาติอิสลามและทำ ให้พวกเขาได้ละเลยจากสนามแห่งการญิฮาด แผนการข้อนี้สอดคล้องกับกฎบัตรของยิวข้อที่  6 ตราไว้ว่า “เรา (ยิว) จะเล่นบทบาทในการทำลายเยาวชนที่ไม่ใช่ยิว  โดยพ่นสารพิษเข้าไปในความคิดของเขา  ด้วยทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ  จนในที่สุดสตรีจะเป็นเครื่องมือในการบำเรอผู้ชาย  ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม”

          แต่สิ่งที่ทำให้เรารูสึกหดหู่ใจเป็นอย่างหนักก็คือ ผู้ที่ไหลไปตามกระแสแห่งความหลอกลวงนี้มิใช่เฉพาะสตรีที่ไม่มีความรู้ทาง ศาสนาเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงสตรีที่มีความรู้เรื่องศาสนาด้วย     อาจเป็นเพราะว่าอิสลามที่พวกเขายึดถือเป็นอิสลามสมัยใหม่เสียแล้ว  ซึ่งมันมีท่าทีประการหนึ่งว่าเหมาะสมกับทัศนคติทางโลกนิยมที่ถูกเผย แพร่อย่างกว้างขวางแถบทุกตารางนิ้ว

         นักคิดอย่าง กอเซ็ม   อามีน , เชคคอลิด  มูหัมหมัด  คอลิด , ดุรรียะฮฺ  ศอฟิก  ลุตฟี , อัซซัยยิด  ฏอฮา   ฮูเซ็น , ซัยยิด  อามีร  อาลี , เมาลานา  มูหัมหมัด  อาลี  ลาโฮร์ , ซิยาร์  โกคัลป์ , มุสตาฟา  เคมาล  อตาเตริก , อดีบะตุซซะมาน  วาฮานี , ราเด็น  อัดเจง  การ์ดนี , อัซซัยยิด  เชค  อัลฮาดี  และคนอื่น ๆ  ที่เป็นพวกสมัยนิยม  เช่นเดียวกับบรรดาอูลามาอฺที่อยู่ในตำแหน่งรัฐบาลจัดให้  บุคคลเหล่านี้แหละที่เป็นตัวจักรในการปลดปล่อยสตรีภายประชาชาติอิสลาม และความพยายามของพวกเขาได้รับการปรบมือจากบรรดาผู้ปฏิเสธจากมิตรชาวตะวันตก  เช่น ซามูเอล  สุวัยเมอร์ , เคนเนช  แครก  , วิลเฟรด  คอนเวล , และบุคคลอื่น ๆ  จากนักบูรพาคดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น