10 แผนการตะวันตกทำลายล้างอิสลาม
เขียนโดย : อบูมูญาฮิด
บทนำ
หลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออเพื่อหาแนวทางทำลายล้าง อิสลามและประชาชาติมุสลิม ในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจและเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้ วางไว้
สาเหตุของสงคราม มีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์ ถึงสาเหตุของสงครามนี้ทำไมที่พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม? เพราะเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางการทหาร ซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุดยุทธศาสตร์ หรือเพราะเหตุผลทางการค้า หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้าเป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์ นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเองให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรมปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าว นั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนามิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด
หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้ โอ้มารดา... จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน ฉันจะไปตริโปลี ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉันเพื่อทำลายล้างอิสลาม ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม โอ้...มารดาเสียงกลองดังขึ้นแล้ว...มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ ?โอ้มารดา...ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉัดได้ไปเดี๋วนี้เถิด... นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า”เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรากับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศ เท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์ ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...”“เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวัน ออกนั้นก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและเพื่อก่อตั้งประเทศอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่น ๆ อีกแล้วนอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...
”อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า“การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า“โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”
พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติ มุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (อัลบะกอเราะ : 120)
การสมาคมและการช่วยเหลือร่วมมือกันทำงานของพวกเขามีความกระชับแน่นมาก เราสามารถเห็นตัวอย่างจากสถานการของประเทศฮอลแลนด์ ยึดครองประเทศอินโดนีเซีย มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประเทศยากจนอย่างฮอลแลนด์ซึ่งอยู่คนละทวีป แต่สามารถปกครองคนหนึ่งร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามหมู่เกาะนับร้อยนับ พัน? และฮอลแลนด์สามารถกระทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกำลังอากาศจากอังกฤษ และความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริการได้หรือ? และเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อฮอลแลนด์อ่อนแอไม่สามารถเอาชนะจิตใจ ประชาชนได้เพราะการต่อต้านและการลุกฮือของประชาชนเจ้าของประเทศ อังกฤษจึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทันทีเช่นเดียวกันเมื่ออิสราเอล ไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกอาหรับ สามอภิมหาอำนาจใหญ่ในสมัยนั้น ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันทีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง ชื่อ มาเซีย บิโด ได้ให้คำยืนยันต่อการทำศึกที่โมร็อกโค ว่า “นั่นคือสงครามระหว่างไม้กางเขนกับพระจันทร์เสี้ยว”ในขณะเดียวกัน คริสเตียน ยิว คอมมิวนิสต์ ต่างก็ร่วมกันกินโต๊ะอิสลาม คอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ ชื่อ กิซิล ออรบากิสตาน (KIZIL ORBAKISTAN) ฉบับที่ 22 ปี 1952 ได้เขียนว่า“เป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของคอมมิวนิสต์ยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่าอิสลามอิสลามจะถูกทำลายถึงรากเหง้าของมัน”มิชชั่นนารีคริสเตียนคน หนึ่งกล่าวว่า
“พลังที่แฝงอยู่ในตัวของอิสลามนั้นมันเป็นอุปสรรคที่หนาเตอะต่อการขยายตัวของคริสเตียน”[/b]
เขียนโดย : อบูมูญาฮิด
บทนำ
หลายต่อหลายครั้งที่พวกตะวันตกประสบความล้มเหลว พ่ายแพ้ในสงครามครูเสดนานถึงเกือบ 2 ศตวรรษที่พวกเขาพยายามวางแผนทำลายล้างอิสลาม กระทั่งพวกเขามีการค้นคว้าศึกษาวิจัยอย่างละเอียดลออเพื่อหาแนวทางทำลายล้าง อิสลามและประชาชาติมุสลิม ในการศึกษาดังกล่าวพวกเขาประสบความสำเร็จในการวางแผนที่รัดกุม ขณะที่พวกเขาได้ทุ่มเทด้วยความมั่นใจและเป็นการปฏิบัติตามแผนที่พวกเขาได้ วางไว้
สาเหตุของสงคราม มีทรรศนะต่างๆ หลายทรรศนะที่เราสามารถค้นหาจากประวัติศาสตร์ ถึงสาเหตุของสงครามนี้ทำไมที่พวกเขา (ผู้ปฏิเสธ) จึงต้องทุ่มเทอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้กับอิสลาม? เพราะเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางการทหาร ซึ่งพวกเขากำลังจะได้ยึดจุดยุทธศาสตร์ หรือเพราะเหตุผลทางการค้า หนังสือประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยฝ่ายอาณานิคม หรือนักบูรพาคดี หรือนักเขียนในเครือประเทศที่เป็นอาณานิคมเอง ที่ได้รับการศึกษาจากชาติตะวันตก ส่วนใหญ่มักจะเน้นในเหตุผลทางด้านการค้าเป็นเหตุผลหลัก และหนังสือเหล่านี้แหละที่ถูกนำไปบรรจุในการศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียน สถาบันการศึกษา โดยธาตุแท้แล้ว เหตุผลทางประวัติศาสตร์ นั้นเป็นเหตุผลจอมปลอมทั้งสิ้น มันมีเป้าหมายเพื่อตบตาประชาชนในอาณานิคมของตนเองให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ มาเพื่อเป็นศัตรู หลังจากที่มีการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วพบว่าข้ออ้างดังกล่าวขัดแย้งกับ ความเป็นจริงทุกประการ จากการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นธรรมปรากฏว่าการต่อสู้ดังกล่าว นั้นเกิดจากเหตุผลทางศาสนามิใช่เหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด
หลักฐานทางประวิติศาสตร์ชิ้นแรกที่เราหยิบยกขึ้นมาได้คือ บทเพลงปลุกใจของชาวอิตาลี ซึ่งมีเนื้อหา ดังนี้ โอ้มารดา... จงขอพรเถิด อย่าได้ร้องให้เลย แต่จงหัวเราะและจงมองเถิด แม่ไม่รู้หรือว่าอิตาลี ได้เรียกร้องฉัน ฉันจะไปตริโปลี ด้วยความสนุกสนานเบิกบานใจ มาตรแม้นว่าฉันจะได้ถวายเลือดของฉันเพื่อทำลายล้างอิสลาม ประชาชาติที่ถูกสาปแช่ง และเพื่อต่อสู้กับศาสนาอิสลาม ฉันจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน หากมีคนถามแม่ว่า ทำไมไม่เสียใจในการจากไปของฉัน ก็จงตอบเขาไปเถิดว่า เขาจากไปเพื่อต่อสู้กับอิสลาม โอ้...มารดาเสียงกลองดังขึ้นแล้ว...มารดาไม่ได้กลิ่นคาวของสงครามดอกหรือ ?โอ้มารดา...ให้ฉันได้โอบกอดมารดาเถิดและให้ฉัดได้ไปเดี๋วนี้เถิด... นี่คือบทเพลงด้วยเสียงกังวาน เพื่อปลุกกำลังใจกองทัพที่เตรียมพร้อมเพื่อสู่สมรภูมิครูเสด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอื่น ๆ ที่ยืนยันถึงการต่อสู้ระหว่างตะวันตกกับอิสลาม คือคำปราศรัยของผู้นำของเขาเอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ ยูเจน รุสโต เขาได้ยืนยันในการปราศรัยของเขาว่า”เราจะต้องมีความสำนึกอยู่เสมอว่า ความขัดแย้งระหว่างเรากับโลกอาหรับไม่ใช่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับประเทศ เท่านั้น แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างอิสลามกับคริสต์ ความขัดแย้งอันนี้เกิดมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพียงวิธีการเท่านั้นที่แตกต่างกัน...”“เป้าหมายของการล่าอาณานิคมในตะวัน ออกนั้นก็เพื่อทำลายล้างอิสลามและเพื่อก่อตั้งประเทศอิสราเอล เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีวิธีการอื่น ๆ อีกแล้วนอกจากการทำสงครามครูเสดให้ดำเนินต่อไป...
”อดีตรัฐมนตรีบริติชที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง คือ มร.แกลดสโตน เคยพูดว่า“การทำลายอิสลามเป็นงานที่ต้องกระทำ”บรรณาธิการนิตยสาร อัลอะอฺลามุลอิสลามีย์ ได้เขียนว่า“โลกคริสเตียน แม้พวกเขาจะมีพื้นฐานและชาติพันธ์ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขา คือ ศัตรูตัวยงที่คอยขัดขวางและทำสงครามกับโลกตะวันออกโดยเฉพาะอิสลาม ประเทศยิวทุกประเทศได้มีข้อตกลงร่วมกันในการที่จะโค่นล้มอิสลาม ในทุกวิถีทางที่พวกเขากระทำได้”
พวกเขาเหล่านั้นมองอิสลามในแง่ความเป็นศัตรูตลอดเวลา จิตใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา อคติต่ออิสลาม พวกเขาได้ตกลงกันเป็นปากเสียงเดียวกันที่จะทำลายล้างอิสลามและประชาชาติ มุสลิม ซึ่งตรงกับที่อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
และชาวยิวและชาวคริสต์นั่น จะไม่ยินดีแก่เจ้า (มุฮัมมัด) เป็นอันขาด จนกว่าเจ้าจะปฏิบัติตามศาสนาของพวกเขา จงกล่าวเถิด แท้จริงคำแนะนำของอัลลอฮ์เท่านั้น คือ คำแนะนำ แน่นอนถ้าเจ้าปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังแล้ว ก็ย่อมไม่มีผู้คุ้มครองและผู้ช่วยเหลือใด ๆ สำหรับเจ้าให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮ์ได้ (อัลบะกอเราะ : 120)
การสมาคมและการช่วยเหลือร่วมมือกันทำงานของพวกเขามีความกระชับแน่นมาก เราสามารถเห็นตัวอย่างจากสถานการของประเทศฮอลแลนด์ ยึดครองประเทศอินโดนีเซีย มันสมเหตุสมผลหรือไม่ที่ประเทศยากจนอย่างฮอลแลนด์ซึ่งอยู่คนละทวีป แต่สามารถปกครองคนหนึ่งร้อยล้านคนที่กระจัดกระจายอยู่ตามหมู่เกาะนับร้อยนับ พัน? และฮอลแลนด์สามารถกระทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือทางกำลังอากาศจากอังกฤษ และความช่วยเหลือทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริการได้หรือ? และเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อฮอลแลนด์อ่อนแอไม่สามารถเอาชนะจิตใจ ประชาชนได้เพราะการต่อต้านและการลุกฮือของประชาชนเจ้าของประเทศ อังกฤษจึงต้องยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือทันทีเช่นเดียวกันเมื่ออิสราเอล ไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกอาหรับ สามอภิมหาอำนาจใหญ่ในสมัยนั้น ได้แก่ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ยื่นมือให้ความช่วยเหลือทันทีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่ง ชื่อ มาเซีย บิโด ได้ให้คำยืนยันต่อการทำศึกที่โมร็อกโค ว่า “นั่นคือสงครามระหว่างไม้กางเขนกับพระจันทร์เสี้ยว”ในขณะเดียวกัน คริสเตียน ยิว คอมมิวนิสต์ ต่างก็ร่วมกันกินโต๊ะอิสลาม คอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ ชื่อ กิซิล ออรบากิสตาน (KIZIL ORBAKISTAN) ฉบับที่ 22 ปี 1952 ได้เขียนว่า“เป็นไปไม่ได้ที่คำสอนของคอมมิวนิสต์ยืนหยัดอยู่ได้ จนกว่าอิสลามอิสลามจะถูกทำลายถึงรากเหง้าของมัน”มิชชั่นนารีคริสเตียนคน หนึ่งกล่าวว่า
“พลังที่แฝงอยู่ในตัวของอิสลามนั้นมันเป็นอุปสรรคที่หนาเตอะต่อการขยายตัวของคริสเตียน”[/b]
muhtadeen alhaq:
แผนการทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิม
แผนการที่ 1 การล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม
ตุรกีเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งนับว่าเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดมหาอำนาจหนึ่งของโลกเลยที่เดียวที่ ประวัติศาสตร์เคยรู้จัก
ชื่อผู้ปกครองประเทศนี้ขึ้นต้นด้วยคอลีฟะฮฺ (KHALIFAH) เป็นที่รู้จักกันดีที่ปกครองแหลมอาหรับ อียิปต์ ชาม อิรัค และแอฟริกาเหนือ คริสตศตวรรษที่ 16 นั้นพอที่จะเป็นสักขีพยานต่อมหาอำนาจอิสลาม ที่เข็มแข็งและเป็นเอกภาพ ซึ่งเคยเขย่าโลกตะวันตกมาแล้ว และเคยขยายอาณาเขตถึงประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบัน คือ ประเทศโรมาเนีย บัลกาเรีย กรีซ ยูโกสลาเวีย อัลบาเนียและฮังการี ในขณะเดียวกันทะเลดำและทะเลกลางก็ตกเป็นของอิสลาม ชื่อคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺในสมัยนั้นเป็นที่เกรงขามของโลกตะวันตก และชาวคริสเตียนตะวันตก
นี่คือเหตุผลหลักที่ผลักดันให้พวกตะวันตกร่วมจับมือกันเพื่อทำลายล้าง โค่นล้มรัฐบาลตุรกี เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นในเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลตุรกีสิ้นอำนาจลง เราลองมาพิจารณาข้อเขียนของ อัลอุซตาซ มุหัมหมัด ฮาบีบ อะหฺหมัด ในหนังสือของท่าน “ประเทศต่าง ๆ ในตะวันตกได้ร่วมมือกันเพื่อเผด็จศึกกับคอลีฟะฮฺอิสลาม (แห่งตุรกี - ผู้แปล) และชาวคริสต์ตะวันตกได้ทำข้อตกลงที่จะทวนกระแสอิสลามที่กำลังไหลแรง พวกเขาได้ทำสัญญาต่าง ๆ และได้เตรียมกองกำลังเพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น และเป็นที่น่าเศร้าใจในขณะที่บรรดาผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุษมานียะฮฺกำลังหลง ระเริงอยู่กับความฟุ้งเฟ้อ”
สนธิสัญญาการร่วมมือก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วยประเทศออสเตรีย โปแลนด์ และเวเนซูเอล่า เป็นสนธิสัญญาที่สำคัญมากโดยมีเป้าหมายที่จะบดขยี้ตุรกี และทำลายล้างอำนาจให้สิ้นซากไป ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งกับตุรกีอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลทางศาสนาและด้วยเหตุผล ทางการศาสนาอีกนั่นเองที่รัสเซียเข้าผสมโรงด้วยโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติ ตะวันตก พวกเขาประสบความสำเร็จในการจู่โจมและกระหน่ำจนกระทั่งตุรกีต้องเพลี่ยงพล้ำ และต้องเสียอำนาจในที่สุด
เมื่อราชวงศ์อุษมานียะฮฺได้ล่มสลายลง ประเทศอาหรับจึงตกเป็นของตะวันตกโดยสิ้นเชิงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเคยเป็น อวัยวะสำคัญของรัฐคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺ
ในปี 1860 ฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติจากกลุ่มประเทศตะวันตกให้เข้ายึดครองเลบานอน ในขณะเดียวกันอังกฤษได้เข้ายึดครองอียิปต์ในปี 1882 อิตาลีเข้ายึดครองตริโปลี ในปี 1911 หลังจากนั้นต่อมา ในปี 1917 อังกฤษได้เข้ายึดครองอิรัค ต่อมาอีกไม่นานได้ยึดครองปาเลสไตน์ และในปี 1918 ฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดครองซีเรียได้อีกประเทศหนึ่ง
เมื่อได้มีการประชุมสมัชชาในการทำสัญญาลูซอน (LUZON) เพื่อสันติภาพอังกฤษได้ให้เงื่อนไขแก่ตุรกีว่า อังกฤษจะไม่คืนดินแดนส่วนต่าง ๆ ของตุรกีนอกจากต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้
1. ตุรกีต้องล้มเลิกระบอบคอลีฟะฮฺ ขับไล่คอลีฟะฮฺออกนอกประเทศ และยึดทรัพย์สินทั้งหมด
2. ตุรกีจะต้องปราบปรามขบวนการต่าง ๆ ทั้งหมดที่สนับสนุนระบอบคอลีฟะฮฺ
3. ตุรกีต้องตัดสัมพันธ์ไมตรีกับโลกอิสลาม
4. ตุรกีจะต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียใหม่และเลิกล้มรัฐธรรมนูญที่วางอยู่บนพื้นฐานอิสลาม
ตราบใดที่เงื่อนไขรับดังกล่าวยังไม่ได้การยอมรับโดยตุรกีแล้วพวกเขาจะโจมตี ต่อไป นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้ มุสตอฟา กามาล อะตาร์เตอร์ก ต้องกำจัดระบอบคอลีฟะฮฺ ประเทศตะวันตกมีความคิดเห็นว่าชื่อ คอลีฟะฮฺนั้นสามารถปลุกพลังประชาชาติอิสลามให้ลุกฮือขึ้นมาได้ และก่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นมาใหม่ในกลุ่มได้ ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ตะวันตกโจมตีตุรกีอย่างไม่ลดละ พวกเขาเพิ่งยุติการโจมตีเมื่อตุรกีได้ขจัดระบอบคอลีฟะฮฺและปิดโรงเรียน สถาบันต่าง ๆ ของอิสลาม และต่อมาคำกล่าวที่ว่า ศาสนาแห่งรัฐาธิปัตย์ คือ อิสลาม ได้ถูกลบออกไปจากรัฐธรรมนูญเมื่อนั้นการโจมตีจึงยุติลง
ครั้งหนึ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษได้แถลงถึง ปัญหาเกี่ยวกับตุรกีในรัฐสภาอังกฤษ มี ส.ส. จำนวนมากที่คัดค้านการให้เอกราชแก่ตุรกีด้วยเกรงว่าตุรกีจะกลับมามีอำนาจ และโจมตีตะวันตกอีกครั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศได้ตอบโต้ว่า “เราได้ทำลายตุรกีอย่างสิ้นซากแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้วเพราะเราได้คร่าชีวิตของอิสลามและ คอลีฟะฮฺแล้ว”
แผนการทำลายล้างอิสลามและประชาชาติมุสลิม
แผนการที่ 1 การล้มล้างการปกครองโดยระบอบอิสลาม
ตุรกีเป็นประเทศอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งนับว่าเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดมหาอำนาจหนึ่งของโลกเลยที่เดียวที่ ประวัติศาสตร์เคยรู้จัก
ชื่อผู้ปกครองประเทศนี้ขึ้นต้นด้วยคอลีฟะฮฺ (KHALIFAH) เป็นที่รู้จักกันดีที่ปกครองแหลมอาหรับ อียิปต์ ชาม อิรัค และแอฟริกาเหนือ คริสตศตวรรษที่ 16 นั้นพอที่จะเป็นสักขีพยานต่อมหาอำนาจอิสลาม ที่เข็มแข็งและเป็นเอกภาพ ซึ่งเคยเขย่าโลกตะวันตกมาแล้ว และเคยขยายอาณาเขตถึงประเทศต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบัน คือ ประเทศโรมาเนีย บัลกาเรีย กรีซ ยูโกสลาเวีย อัลบาเนียและฮังการี ในขณะเดียวกันทะเลดำและทะเลกลางก็ตกเป็นของอิสลาม ชื่อคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺในสมัยนั้นเป็นที่เกรงขามของโลกตะวันตก และชาวคริสเตียนตะวันตก
นี่คือเหตุผลหลักที่ผลักดันให้พวกตะวันตกร่วมจับมือกันเพื่อทำลายล้าง โค่นล้มรัฐบาลตุรกี เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นในเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลตุรกีสิ้นอำนาจลง เราลองมาพิจารณาข้อเขียนของ อัลอุซตาซ มุหัมหมัด ฮาบีบ อะหฺหมัด ในหนังสือของท่าน “ประเทศต่าง ๆ ในตะวันตกได้ร่วมมือกันเพื่อเผด็จศึกกับคอลีฟะฮฺอิสลาม (แห่งตุรกี - ผู้แปล) และชาวคริสต์ตะวันตกได้ทำข้อตกลงที่จะทวนกระแสอิสลามที่กำลังไหลแรง พวกเขาได้ทำสัญญาต่าง ๆ และได้เตรียมกองกำลังเพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น และเป็นที่น่าเศร้าใจในขณะที่บรรดาผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุษมานียะฮฺกำลังหลง ระเริงอยู่กับความฟุ้งเฟ้อ”
สนธิสัญญาการร่วมมือก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วยประเทศออสเตรีย โปแลนด์ และเวเนซูเอล่า เป็นสนธิสัญญาที่สำคัญมากโดยมีเป้าหมายที่จะบดขยี้ตุรกี และทำลายล้างอำนาจให้สิ้นซากไป ด้วยเหตุนี้ความขัดแย้งกับตุรกีอย่างชัดเจนด้วยเหตุผลทางศาสนาและด้วยเหตุผล ทางการศาสนาอีกนั่นเองที่รัสเซียเข้าผสมโรงด้วยโดยได้รับการสนับสนุนจากชาติ ตะวันตก พวกเขาประสบความสำเร็จในการจู่โจมและกระหน่ำจนกระทั่งตุรกีต้องเพลี่ยงพล้ำ และต้องเสียอำนาจในที่สุด
เมื่อราชวงศ์อุษมานียะฮฺได้ล่มสลายลง ประเทศอาหรับจึงตกเป็นของตะวันตกโดยสิ้นเชิงทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเคยเป็น อวัยวะสำคัญของรัฐคอลีฟะฮฺราชวงศ์อุษมานียะฮฺ
ในปี 1860 ฝรั่งเศสได้รับการอนุมัติจากกลุ่มประเทศตะวันตกให้เข้ายึดครองเลบานอน ในขณะเดียวกันอังกฤษได้เข้ายึดครองอียิปต์ในปี 1882 อิตาลีเข้ายึดครองตริโปลี ในปี 1911 หลังจากนั้นต่อมา ในปี 1917 อังกฤษได้เข้ายึดครองอิรัค ต่อมาอีกไม่นานได้ยึดครองปาเลสไตน์ และในปี 1918 ฝรั่งเศสก็สามารถเข้ายึดครองซีเรียได้อีกประเทศหนึ่ง
เมื่อได้มีการประชุมสมัชชาในการทำสัญญาลูซอน (LUZON) เพื่อสันติภาพอังกฤษได้ให้เงื่อนไขแก่ตุรกีว่า อังกฤษจะไม่คืนดินแดนส่วนต่าง ๆ ของตุรกีนอกจากต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้
1. ตุรกีต้องล้มเลิกระบอบคอลีฟะฮฺ ขับไล่คอลีฟะฮฺออกนอกประเทศ และยึดทรัพย์สินทั้งหมด
2. ตุรกีจะต้องปราบปรามขบวนการต่าง ๆ ทั้งหมดที่สนับสนุนระบอบคอลีฟะฮฺ
3. ตุรกีต้องตัดสัมพันธ์ไมตรีกับโลกอิสลาม
4. ตุรกีจะต้องเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียใหม่และเลิกล้มรัฐธรรมนูญที่วางอยู่บนพื้นฐานอิสลาม
ตราบใดที่เงื่อนไขรับดังกล่าวยังไม่ได้การยอมรับโดยตุรกีแล้วพวกเขาจะโจมตี ต่อไป นี่จึงเป็นแรงผลักดันให้ มุสตอฟา กามาล อะตาร์เตอร์ก ต้องกำจัดระบอบคอลีฟะฮฺ ประเทศตะวันตกมีความคิดเห็นว่าชื่อ คอลีฟะฮฺนั้นสามารถปลุกพลังประชาชาติอิสลามให้ลุกฮือขึ้นมาได้ และก่อให้เกิดความสามัคคีขึ้นมาใหม่ในกลุ่มได้ ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำให้ตะวันตกโจมตีตุรกีอย่างไม่ลดละ พวกเขาเพิ่งยุติการโจมตีเมื่อตุรกีได้ขจัดระบอบคอลีฟะฮฺและปิดโรงเรียน สถาบันต่าง ๆ ของอิสลาม และต่อมาคำกล่าวที่ว่า ศาสนาแห่งรัฐาธิปัตย์ คือ อิสลาม ได้ถูกลบออกไปจากรัฐธรรมนูญเมื่อนั้นการโจมตีจึงยุติลง
ครั้งหนึ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษได้แถลงถึง ปัญหาเกี่ยวกับตุรกีในรัฐสภาอังกฤษ มี ส.ส. จำนวนมากที่คัดค้านการให้เอกราชแก่ตุรกีด้วยเกรงว่าตุรกีจะกลับมามีอำนาจ และโจมตีตะวันตกอีกครั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศได้ตอบโต้ว่า “เราได้ทำลายตุรกีอย่างสิ้นซากแล้ว มันจะไม่เกิดขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สองแล้วเพราะเราได้คร่าชีวิตของอิสลามและ คอลีฟะฮฺแล้ว”
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 2การลบล้างอัลกุรอ่าน
ดังที่เราได้ทราบจากเนื้อเพลงปลุกใจของชาติตะวันตกในตอนต้นแล้วว่า พวกเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน เพราะพวกเขาตระหนักว่าอัลกุรอ่านเป็นที่มาของพลังแห่งประชาชาติอิสลาม
และนี่คือคำยืนยันของแกลดสโตน (GLADSTONE) อีกครั้งหนึ่ง ที่เขาได้ยืนยันว่า “ตราบใดที่อัลกุรอ่านยังอยู่ตราบนั้นตะวันตกไม่สามารถมีชัยชนะเหนือตะวันออก ได้ หากแต่ตะวันตกนั่นเองที่จะไม่มีความสงบ (ปลอดภัย)”
อดีตผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในอาณานิคมอาหรับคนหนึ่งได้กล่าวปราศรัยในโอกาสครบ รอบหนึ่งร้อยปีแห่งการยึดครองอาณานิคมของตนว่า “เราจะต้องลบล้างอัลกุรอ่านที่เป็นภาษาอาหรับจากชาวแอลญีเรีย เราจะต้องทำลายภาษาอาหรับออกจากลิ้นของพวกเขา ในที่สุดเราก็สามารถยึดรองเขาได้”
และผู้นำตะวันตกคนหนึ่งชื่อ วิลเลี่ยม เจฟอร์ด (WILLIAM JERFORD) ได้กล่าวว่า “เมื่ออัลกุรอ่านและเมืองมักกะฮฺได้หายไปจากสายตาของชาวอาหรับ นั่นแหละเราจะได้เห็นชาติอาหรับมุ่งสู่อารยธรรมตะวันตก และพวกเขาจะหันห่างจากมูหัมหมัด และคำสอนของเขา”
มิชชั่นนารีคริสเตียนชื่อ ตอกเลย์ (TOKLEY) กล่าวว่า “เราจะต้องใช้อัลกุรอ่าน มันเป็นอาวุธที่ดีเลิศที่เราจะใช้ต่อสู้กับอิสลามและเราจะต้องชี้แจงแก่ มุสลิมว่า ความจริงในอัลกุรอ่านนั่นไม่ใช่ของใหม่ และสิ่งใหม่ที่ปรากฏในอัลกุรอ่านนั้นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด”
พวกเขาได้ครหาอัลกุรอ่านด้วยความมุสาต่าง ๆ นานา พวกเขาส่วนมากปฏิเสธว่า ท่านนบีมูหัมหมัดได้รับวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ พวกเขาได้โจมตีอย่างเหลวแหลกต่อสัญญาณต่าง ๆ แห่งการประทานวะฮฺยูซึ่งมักจะเห็นชอบโดยซอฮาบะฮฺ
บางคนมีทัศนะว่าสัญญาณการประทานวะฮฺยู (พฤติกรรมของท่านนบีในขณะรับวะฮฺยูนั้น) ที่จริงแล้วที่จริงแล้วเป็นการแสดงอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งที่สร้างความ เจ็บปวดแก่นบี และมีทัศนะว่าวะฮฺยูนั้นเป็นผลของการละเมอเพ้อฝันของท่าน และบางคนกล่าวว่าวะฮฺยูนั้นเป็นอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งของท่าน (ขออัลลอฮฺทรงให้พวกเราห่างไกลจากการหลงทางนี้)
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดที่เป็นยิวและคริสเตียนจึงยอมรับว่า การมีอยู่ของศาสดาต่าง ๆ คัมภีร์เตารอต (โตราห์) บทบาทและคำสอนของศาสดาต่าง ๆ เหล่านั้นเหนือกว่าท่านนบีมูหัมหมัด ฉะนั้นการแสดงออกถึงการปฏิเสธของพวกเขาจึงมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากทัศนะที่เต็มไปด้วยความอคติทางศาสนาที่มีอยู่ในหัวใจลำเอียงอย่างพวก บาทหลวงและมิชชันนารี่
แม้กระนั่นก็ตามเมื่อพวกเขาค้นพบสัจธรรมในอัลกุรอ่านโดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ของประชาชาติในยุคก่อน ๆ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่ได้รับการศึกษา เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก อย่างมูหัมหมัดจะรอบรู้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลอื่น ๆ พอทำเนาและพยายามวาดภาพพจน์ด้วยความเขลาเบาปัญญาของตัวเองออกมาเช่นเดียว กัน เมื่อพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงในกุรอ่านที่บ่งบอกถึงการค้นพบทางวิทยา ศาสตร์ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธอีกจนได้
แผนการที่ 2การลบล้างอัลกุรอ่าน
ดังที่เราได้ทราบจากเนื้อเพลงปลุกใจของชาติตะวันตกในตอนต้นแล้วว่า พวกเขาจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง เพื่อลบล้างอัลกุรอ่าน เพราะพวกเขาตระหนักว่าอัลกุรอ่านเป็นที่มาของพลังแห่งประชาชาติอิสลาม
และนี่คือคำยืนยันของแกลดสโตน (GLADSTONE) อีกครั้งหนึ่ง ที่เขาได้ยืนยันว่า “ตราบใดที่อัลกุรอ่านยังอยู่ตราบนั้นตะวันตกไม่สามารถมีชัยชนะเหนือตะวันออก ได้ หากแต่ตะวันตกนั่นเองที่จะไม่มีความสงบ (ปลอดภัย)”
อดีตผู้ปกครองชาวฝรั่งเศสในอาณานิคมอาหรับคนหนึ่งได้กล่าวปราศรัยในโอกาสครบ รอบหนึ่งร้อยปีแห่งการยึดครองอาณานิคมของตนว่า “เราจะต้องลบล้างอัลกุรอ่านที่เป็นภาษาอาหรับจากชาวแอลญีเรีย เราจะต้องทำลายภาษาอาหรับออกจากลิ้นของพวกเขา ในที่สุดเราก็สามารถยึดรองเขาได้”
และผู้นำตะวันตกคนหนึ่งชื่อ วิลเลี่ยม เจฟอร์ด (WILLIAM JERFORD) ได้กล่าวว่า “เมื่ออัลกุรอ่านและเมืองมักกะฮฺได้หายไปจากสายตาของชาวอาหรับ นั่นแหละเราจะได้เห็นชาติอาหรับมุ่งสู่อารยธรรมตะวันตก และพวกเขาจะหันห่างจากมูหัมหมัด และคำสอนของเขา”
มิชชั่นนารีคริสเตียนชื่อ ตอกเลย์ (TOKLEY) กล่าวว่า “เราจะต้องใช้อัลกุรอ่าน มันเป็นอาวุธที่ดีเลิศที่เราจะใช้ต่อสู้กับอิสลามและเราจะต้องชี้แจงแก่ มุสลิมว่า ความจริงในอัลกุรอ่านนั่นไม่ใช่ของใหม่ และสิ่งใหม่ที่ปรากฏในอัลกุรอ่านนั้นไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด”
พวกเขาได้ครหาอัลกุรอ่านด้วยความมุสาต่าง ๆ นานา พวกเขาส่วนมากปฏิเสธว่า ท่านนบีมูหัมหมัดได้รับวะฮฺยูจากอัลลอฮฺ พวกเขาได้โจมตีอย่างเหลวแหลกต่อสัญญาณต่าง ๆ แห่งการประทานวะฮฺยูซึ่งมักจะเห็นชอบโดยซอฮาบะฮฺ
บางคนมีทัศนะว่าสัญญาณการประทานวะฮฺยู (พฤติกรรมของท่านนบีในขณะรับวะฮฺยูนั้น) ที่จริงแล้วที่จริงแล้วเป็นการแสดงอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งที่สร้างความ เจ็บปวดแก่นบี และมีทัศนะว่าวะฮฺยูนั้นเป็นผลของการละเมอเพ้อฝันของท่าน และบางคนกล่าวว่าวะฮฺยูนั้นเป็นอาการทางโรคจิตอย่างหนึ่งของท่าน (ขออัลลอฮฺทรงให้พวกเราห่างไกลจากการหลงทางนี้)
ด้วยเหตุนี้พวกเขาทั้งหมดที่เป็นยิวและคริสเตียนจึงยอมรับว่า การมีอยู่ของศาสดาต่าง ๆ คัมภีร์เตารอต (โตราห์) บทบาทและคำสอนของศาสดาต่าง ๆ เหล่านั้นเหนือกว่าท่านนบีมูหัมหมัด ฉะนั้นการแสดงออกถึงการปฏิเสธของพวกเขาจึงมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากทัศนะที่เต็มไปด้วยความอคติทางศาสนาที่มีอยู่ในหัวใจลำเอียงอย่างพวก บาทหลวงและมิชชันนารี่
แม้กระนั่นก็ตามเมื่อพวกเขาค้นพบสัจธรรมในอัลกุรอ่านโดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ของประชาชาติในยุคก่อน ๆ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่คนที่ไม่ได้รับการศึกษา เขียนไม่ได้ อ่านไม่ออก อย่างมูหัมหมัดจะรอบรู้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลอื่น ๆ พอทำเนาและพยายามวาดภาพพจน์ด้วยความเขลาเบาปัญญาของตัวเองออกมาเช่นเดียว กัน เมื่อพวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงในกุรอ่านที่บ่งบอกถึงการค้นพบทางวิทยา ศาสตร์ที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อนหน้านี้ พวกเขาก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธอีกจนได้
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 3 ทำลายระบบจริยธรรม ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้า และการปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
แผนการณ์ที่ 3 มีความสอดคล้องต้องกันกับนโยบายของผู้นำตะวันตกคนหนึ่ง คือ ซามูเอล ซูวัยเมอร์ (SAMUEL ZUWAIMER) ขณะเดียวกันก็เป็นประธานสมาคมมิชชั่นนารีด้วย เขาได้กล่าวในสภาคองเกรสมัลกิส ในปี 1953 ว่า “ที่จริงแล้วหน้าที่ของมิชชั่นนารี่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลให้ทำงาน ในประเทศมุสลิมนั้น ไม่ใช่เพื่อเชิญชวนมุสลิมให้เข้ารับนับถือศาสนาคริสหรอก เพราะพวกเขาก็มีศาสนา และระบบความเชื่อถือของเขาอยู่แล้ว ภาระหน้าที่ของพวกท่าน คือ ให้พวกเขาหันเหออกจากอิสลามเท่านั้น และคลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนทำให้พวกเขาขาดความสนใจต่อมารยาท จริยธรรม ที่เขาเคยยึดถือมาตลอด...”
“ท่านทั้งหลายจงเตรียมความคิดต่าง ๆ ที่จะให้แก่โลกอิสลามให้พร้อม เพื่อให้พวกเขายอมรับในวิธีการต่าง ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการ คือ เพื่อเพิกถอนวิญญาณออกจากเรือนร่างของมุสลิม ท่านทั้งหลายได้โปรดเตรียมไว้ให้พร้อมซึ่งกองกำลังของหนุ่มสาวที่ปราศจาก ความผูกพันธ้กับพระเจ้า ด้วยวิธีการเช่นนี้ ที่ท่านทั้งหลายจะประสบความสำเร็จในการหันเหมุสลิมออกจากอิสลามแต่ก็มิได้ หมายความว่าพวกเขาจะเข้ารับนับถือศาสนาคริสแต่อย่างใด โอ้บรรดานักเผยแพร่ทั้งหลาย จงทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด...”
และแล้วก็เกิดชนอิสลามรุ่นใหม่ที่เป็นไปตามความต้องการของจักรวรรดินิยม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักที่สำคัญของพวกเขา พวกเขาชอบพักผ่อนปล่อยเวลาอย่างไร้สาระ พวกเขาชอบอยู่เฉย ๆ และแสวงหาสิ่งสนองตอบต่อความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา แม้แต่การศึกษาก็มีเป้าหมายเพื่อเรื่องเซ็กส์ การแสวงหาทรัพย์ก็เพื่อเป้าหมายดังกล่าว และแม้แต่เขามีตำแหน่งสูงเขาก็ใช้ตำแหน่งเพื่ออารมณ์เช่นกัน หากเรามองสังคมปัจจุบัน เราก็สามารถเห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจนว่ามันเป็นไปตามความต้องการ หรือแผนการของพวกเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จงสังเกตชนรุ่นใหม่ว่าจริยธรรมของพวกเขาเลวทรามลงแค่ไหน มีเพียงชื่ออิสลามเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเขา แต่วิญญาณ พฤติกรรม และวิถีชีวิตของพวกเขามิใช่มุสลิมเสียแล้ว
บทบาทในการทำลาย จริยธรรมประชาชาติอิสลามนั้นหาใช่ว่าถูกทำลายโดยชาวตะวันตกอย่างเดียวเท่า นั้น แต่เป็นเจ้าของประเทศเองซึ่งถูกหล่อหลอมด้วยสีสันจากตะวันตก บุคคลเหล่านี้แหละที่ทำงานเพื่อทำลายชาติของตนเอง โดยผ่านสถาบันการศึกษา หนังสือพิมพ์ ละคร ภาพยนตร์ แฟชั่นการแต่งกาย และพวกเขาพยายามสร้าง คิดค้นกิจกรรมการกีฬาและการละเล่นที่สร้างความเพลินเพลินจนกระทั่งลืมพระผู้ เป็นเจ้า ตลอดจนหันห่างผลักไสพวกเขาจากประตูมัสยิด สุเหร่า ห่างไกลจากมัจลิสอิลมีย์ และการศึกษาอิสลาม
สถาบันเหล่านี้แหละที่เป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตชนรุ่นใหม่ เป็นผู้นำแนวความคิดที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามโดยอาศัยหน้ากากแห่งความ เจริญและทันสมัย พวกเขาเหล่านั้นถูกเตรียมพร้อมสำหรับการรับใช้ตะวันตก ในการเดินตามรอยของนักบูรพาคดีที่ได้หว่านล้อมทางเดินให้แก่พวกเขา และพวกมิชชั่นนารี่ที่สร้างความวุ่นวาย สับสนแก่ประวัติศาสตร์อิสลาม บีบคั้นบทบาทของมันในประวัติศาสตร์ระดับชาติ สร้างความรู้สึกต่ำต้อยแก่ประชาชาติอิสลาม
มิชชันนารี่ตอกเลย์ (TAKLAY) ได้กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการสร้างสถาบันการศึกษาในแนวตะวันตก เพราะปัจจุบันนี้มีมุสลิมจำนวนมากที่การศรัทธาของพวกเขาเกิดความเคลือบแคลง ต่ออิสลาม และอัลกุรอ่าน สืบเนื่องมาจากพวกเขาได้ทำการศึกษาตำราต่าง ๆ ของตะวันตก และศึกษาภาษาต่างประเทศมาก”
ลอร์ดโครเมอร์ ได้อธิบายถึงภาพพจน์ของยุทธวิธีที่จัดระบบโดย ฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลแลนด์ แก่ประเทศอิสลาม เขาได้กล่าวว่า “เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากอังกฤษและตะวันตกพวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์ ระหว่างวัฒนธรรมและจิตใจของพวกเขากับประเทศชาติของพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พบอุปสรรคในการเป็นสมาชิกของสังคมที่พวกเขาได้รับการ ศึกษามา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโซซัดโซเซ”
นี่คือเป้าหมายอย่างแท้จริงที่ชาวตะวันตก (กระทำกับมุสลิม) ไม่ว่าจะในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือการฝากนักเรียนไปสู่ประเทศยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ นักเขียนคนหนึ่งชื่อ โจบราน ได้ยืนยันว่า เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนต่าง ๆ ของอเมริกาจะได้เป็นสมุนของอเมริกา นักศึกษาที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนซูซุยติก พวกเขาจะเป็นทูตของฝรั่งเศสอย่างแน่นอน ในขณะที่นักศึกษาที่สังกัดในสถาบันการศึกษาของรัสเซียเขาจะได้เป็นตัวแทนของ รัสเซีย
ทัศนะดังกล่าวมีความถูกต้อง เพราะประเทศตะวันตกได้ทำสงครามกับประเทศตะวันออกโดยเฉพาะอิสลามด้วยการส่ง ผู้เชี่ยวชาญ มิชชันนารี่ นักบูรพาคดี นักหนังสือพิมพ์ และสร้างศูนย์กลางที่ใหญ่โตในทุกเมืองหลวงของประเทศมุสลิม โดยเน้นเป้าหมายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเขาให้แก่ชาวเมืองนั้น ๆ แผนการที่เลวร้ายนี้ได้แทรกซึมไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ สถาบันสาธารณสุข หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีโอและภาพยนต์
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมตะวันตกที่อันตรายนี้ได้มีการทำงานกันอย่างเป็น ระบบ เพื่อเข้าไปอยู่ในทุกส่วนแห่งคุณค่าอิสลาม คุณค่าของอิสลามที่บริสุทธิ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นวัฒนธรรมที่ล้าสมัย และภายในระยะเวลาอันนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกขาดการบริหารหนังสือ พิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านอิสลาม สื่อมวลชนเหล่านี้แหละที่พวกเขาได้ใช้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะแบ่งแยกความ คิดและจิตใจของมุสลิมออกจากคำสอนของอิสลามทุกรูปแบบ จากคุณค่าที่วางอยู่บนพื้นฐานหลักเตาฮีด ศีลธรรม และความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และพวกเขาได้บรรจุสารพิษแห่งการปฏิเสธเข้าสู่สมองอันว่างเปล่านั้นในขณะ เดียวกันพวกเขาก็ใช้เทคนิคบิดเบือนให้เกิดความคลุมเครือ กล่าวคือ การทำโครงการซึ่งมีลักษณะภายนอกเป็นอิสลามแต่แก่นแท้ คือ การบิดเบือนมุสลิมให้ไขว้เขวจากอิสลาม เช่น การประกาศใช้ชื่อ อิสลาม ในโครงการต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ดำเนินการ
พวกเขามิได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้น หากแต่เราเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์โดยคนกลุ่มนี้ พวกเขาได้เสนอเรื่องที่ใช้ชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาโจมตีอิสลาม และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เกิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งที่มีชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือพิมพ์อื่นทั่ว ๆ ไป ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพที่ไม่ได้ส่อแสดงถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วการเกิดมาของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่าง ๆ นี้มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ เพื่อทำลายจริยธรรม ตลอดจนการให้สารพิษทางความคิดแก่มุสลิม และกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวเองในขณะเดียวกันด้วย และเบื้องหลังของเขามีนักการเมืองซึ่งคอยหวังผลประโยชน์จากการทำงานของสื่อ มวลชน เพื่อเพิ่มพลังอิทธิพลและรักษาเก้าอี้ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป
แต่ในขณะเดียวกันก็มีนิตยสารที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อิสลามที่แท้จริง และต่อต้านสิ่งมุงกัรทั้งหลายทุกรูปแบบที่ปรากฏ ในที่สุดสำนักพิมพ์เหล่านั้นก็จะสูญหายไปที่ละสำนัก ๆ หนำซ้ำยังถูกตีตราว่ามีความงมงาย และสร้างความแตกแยกแก่สังคม หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่พวกกาฟิรจากตะวันตกอยู่เบื้องหลัง นับวันจะเติบโต และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ พวกเขาได้ดำเนินการในทุกรูปแบบและทุกแง่มุม ช่วงแรกของขบวนการเหล่านี้ชาวตะวันตกเป็นผู้ทำงานเอง แต่ต่อมาภาระหน้าที่เหล่านี้ถูกมอบหมายให้กับนักเรียนมุสลิมเพื่อให้เจ้า ของประเทศยอมรับโดยปราศจากความลังเลใด ๆ นักเรียนเหล่านี้แหละที่มีบทบาทในการนำ เผยแพร่ปรัชญาสมัยใหม่ ๆไปสู่ชาวพื้นเมืองโดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) นั้นเป็นขบวนการต่อต้านศาสนาและคุณค่าแห่งจิตวิญญาณ
ตามทัศนะของมัรยัม ญะมีละฮฺ ในหนังสือของเธอ “อิสลามและมอร์เดริ์นนิสม์” ว่า “หากจะเปรียบขบวนการมอร์เดริ์นนิสม์ก็เป็นเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง และกิ่งก้านของมันก็คือลัทธิต่าง ๆ อันประกอบด้วย คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ทุนนิยม ฟาสซิสต์ เป็นต้น”
ลักษณะของขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การปฏิเสธวันปรโลก บาปบุญ และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น ฉะนั้นจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีความสนุกสนาน เพลิดเพลินทางร่างกาย และวัตถุเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าแห่งอะกีดะฮฺและจริยธรรม
2. บูชาในความคิดและเหตุผลของมนุษย์ อำนาจทางวิทยาศาสตร์ถูกทำให้เหนืออำนาจของพระเจ้า
3. ชาตินิยม เป็นลักษณะสำคัญของขบวนการนี้ ซึ่งมันได้ให้การยกย่องและหยิ่งทะนงต่อประชาคมของตัวเองและปลูกฝังความ รู้สึกเกลียดชังแก่กลุ่มอื่น ๆ
4. มอร์เดริ์นนิสม์ พยายามที่จะทำลายระบบครอบครัว (ลดบทบาทสถาบันครอบครัว) คาร์ล มาร์กซ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า
“เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์กำจัดระบบครอบครัวให้สูญสิ้นด้วยวิธีการ 3 ประการ คือ
- ขยายโรงงานอุตสาหกรรม
- ขยายสังคมเมือง
- ให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรี”
ทั้ง 3 ประการนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน โดยนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำลายสถาบันครอบครัว เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมได้เปิดรับคนเข้าทำงานและให้ค่าแรงงานที่คุ้มค่า ทำให้สตรีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมือง และเมื่อทั้งสามี ภรรยา ต่างออกทำงานนอกบ้าน ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ครอบครัวขาดความอบอุ่น เพราะต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
เมื่อ บิดาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะในด้านการอบรม เลี้ยงดูและการให้ความรักแก่ลูกของตน แม้พวกเขาจะส่งศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรืออนุบาลก็ตาม สถาบันเหล่านั้นไม่สามารถที่จะให้ความอบอุ่นได้เท่าเทียมที่พ่อแม่หยิบยื่น ให้ สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กและนี่คือต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เยาวชนขาด จริยธรรม ซึ่งมีผลต่อสังคมโดยส่วนรวม
สโลแกนเรียกร้องสิทธิของสตรีก็มีบทบาทอีกเช่นกันในการทำลายสถาบันครอบครัว ให้อ่อนแอลง สตรีปัจจุบันมักจะคล้อยตามกับสิ่งล่อใจ นิตยสารบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่สนับสนุนให้ต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณี แม้ภายนอกเราเห็นถึงการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสามารถให้ความเป็นธรรมแก่สตรี ได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันได้ทำลายวิถีชีวิตของสตรีเองต่างหาก เพราะสตรีเองกลายเป็นเครื่องมือทางการค้าธุรกิจ เพื่อกอบโกยผลกำไรของกลุ่มประโยชน์ (นายทุน) ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การโฆษณากิจการโสเภณี เป็นต้น นี่แหละนี่สาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมทรามทางด้านจริยธรรมของสังคม ทำให้เกิดบุตรนอกสมรส โรคทางเพศ การกดขี่ การเข่นฆ่า และอาชญากรรมอื่น ๆ
แผนการที่ 3 ทำลายระบบจริยธรรม ความคิด ความสัมพันธ์ระหว่างมุสลิมกับพระเจ้า และการปล่อยพวกเขาไปตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
แผนการณ์ที่ 3 มีความสอดคล้องต้องกันกับนโยบายของผู้นำตะวันตกคนหนึ่ง คือ ซามูเอล ซูวัยเมอร์ (SAMUEL ZUWAIMER) ขณะเดียวกันก็เป็นประธานสมาคมมิชชั่นนารีด้วย เขาได้กล่าวในสภาคองเกรสมัลกิส ในปี 1953 ว่า “ที่จริงแล้วหน้าที่ของมิชชั่นนารี่ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลให้ทำงาน ในประเทศมุสลิมนั้น ไม่ใช่เพื่อเชิญชวนมุสลิมให้เข้ารับนับถือศาสนาคริสหรอก เพราะพวกเขาก็มีศาสนา และระบบความเชื่อถือของเขาอยู่แล้ว ภาระหน้าที่ของพวกท่าน คือ ให้พวกเขาหันเหออกจากอิสลามเท่านั้น และคลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนทำให้พวกเขาขาดความสนใจต่อมารยาท จริยธรรม ที่เขาเคยยึดถือมาตลอด...”
“ท่านทั้งหลายจงเตรียมความคิดต่าง ๆ ที่จะให้แก่โลกอิสลามให้พร้อม เพื่อให้พวกเขายอมรับในวิธีการต่าง ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการ คือ เพื่อเพิกถอนวิญญาณออกจากเรือนร่างของมุสลิม ท่านทั้งหลายได้โปรดเตรียมไว้ให้พร้อมซึ่งกองกำลังของหนุ่มสาวที่ปราศจาก ความผูกพันธ้กับพระเจ้า ด้วยวิธีการเช่นนี้ ที่ท่านทั้งหลายจะประสบความสำเร็จในการหันเหมุสลิมออกจากอิสลามแต่ก็มิได้ หมายความว่าพวกเขาจะเข้ารับนับถือศาสนาคริสแต่อย่างใด โอ้บรรดานักเผยแพร่ทั้งหลาย จงทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด...”
และแล้วก็เกิดชนอิสลามรุ่นใหม่ที่เป็นไปตามความต้องการของจักรวรรดินิยม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักที่สำคัญของพวกเขา พวกเขาชอบพักผ่อนปล่อยเวลาอย่างไร้สาระ พวกเขาชอบอยู่เฉย ๆ และแสวงหาสิ่งสนองตอบต่อความต้องการของอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา แม้แต่การศึกษาก็มีเป้าหมายเพื่อเรื่องเซ็กส์ การแสวงหาทรัพย์ก็เพื่อเป้าหมายดังกล่าว และแม้แต่เขามีตำแหน่งสูงเขาก็ใช้ตำแหน่งเพื่ออารมณ์เช่นกัน หากเรามองสังคมปัจจุบัน เราก็สามารถเห็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างชัดเจนว่ามันเป็นไปตามความต้องการ หรือแผนการของพวกเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น จงสังเกตชนรุ่นใหม่ว่าจริยธรรมของพวกเขาเลวทรามลงแค่ไหน มีเพียงชื่ออิสลามเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของพวกเขา แต่วิญญาณ พฤติกรรม และวิถีชีวิตของพวกเขามิใช่มุสลิมเสียแล้ว
บทบาทในการทำลาย จริยธรรมประชาชาติอิสลามนั้นหาใช่ว่าถูกทำลายโดยชาวตะวันตกอย่างเดียวเท่า นั้น แต่เป็นเจ้าของประเทศเองซึ่งถูกหล่อหลอมด้วยสีสันจากตะวันตก บุคคลเหล่านี้แหละที่ทำงานเพื่อทำลายชาติของตนเอง โดยผ่านสถาบันการศึกษา หนังสือพิมพ์ ละคร ภาพยนตร์ แฟชั่นการแต่งกาย และพวกเขาพยายามสร้าง คิดค้นกิจกรรมการกีฬาและการละเล่นที่สร้างความเพลินเพลินจนกระทั่งลืมพระผู้ เป็นเจ้า ตลอดจนหันห่างผลักไสพวกเขาจากประตูมัสยิด สุเหร่า ห่างไกลจากมัจลิสอิลมีย์ และการศึกษาอิสลาม
สถาบันเหล่านี้แหละที่เป็นเสมือนโรงงานที่ผลิตชนรุ่นใหม่ เป็นผู้นำแนวความคิดที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทรามโดยอาศัยหน้ากากแห่งความ เจริญและทันสมัย พวกเขาเหล่านั้นถูกเตรียมพร้อมสำหรับการรับใช้ตะวันตก ในการเดินตามรอยของนักบูรพาคดีที่ได้หว่านล้อมทางเดินให้แก่พวกเขา และพวกมิชชั่นนารี่ที่สร้างความวุ่นวาย สับสนแก่ประวัติศาสตร์อิสลาม บีบคั้นบทบาทของมันในประวัติศาสตร์ระดับชาติ สร้างความรู้สึกต่ำต้อยแก่ประชาชาติอิสลาม
มิชชันนารี่ตอกเลย์ (TAKLAY) ได้กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการสร้างสถาบันการศึกษาในแนวตะวันตก เพราะปัจจุบันนี้มีมุสลิมจำนวนมากที่การศรัทธาของพวกเขาเกิดความเคลือบแคลง ต่ออิสลาม และอัลกุรอ่าน สืบเนื่องมาจากพวกเขาได้ทำการศึกษาตำราต่าง ๆ ของตะวันตก และศึกษาภาษาต่างประเทศมาก”
ลอร์ดโครเมอร์ ได้อธิบายถึงภาพพจน์ของยุทธวิธีที่จัดระบบโดย ฝรั่งเศส อังกฤษ และฮอลแลนด์ แก่ประเทศอิสลาม เขาได้กล่าวว่า “เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากอังกฤษและตะวันตกพวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์ ระหว่างวัฒนธรรมและจิตใจของพวกเขากับประเทศชาติของพวกเขา ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พบอุปสรรคในการเป็นสมาชิกของสังคมที่พวกเขาได้รับการ ศึกษามา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโซซัดโซเซ”
นี่คือเป้าหมายอย่างแท้จริงที่ชาวตะวันตก (กระทำกับมุสลิม) ไม่ว่าจะในระดับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย หรือการฝากนักเรียนไปสู่ประเทศยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ นักเขียนคนหนึ่งชื่อ โจบราน ได้ยืนยันว่า เยาวชนที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนต่าง ๆ ของอเมริกาจะได้เป็นสมุนของอเมริกา นักศึกษาที่สังกัดอยู่ในโรงเรียนซูซุยติก พวกเขาจะเป็นทูตของฝรั่งเศสอย่างแน่นอน ในขณะที่นักศึกษาที่สังกัดในสถาบันการศึกษาของรัสเซียเขาจะได้เป็นตัวแทนของ รัสเซีย
ทัศนะดังกล่าวมีความถูกต้อง เพราะประเทศตะวันตกได้ทำสงครามกับประเทศตะวันออกโดยเฉพาะอิสลามด้วยการส่ง ผู้เชี่ยวชาญ มิชชันนารี่ นักบูรพาคดี นักหนังสือพิมพ์ และสร้างศูนย์กลางที่ใหญ่โตในทุกเมืองหลวงของประเทศมุสลิม โดยเน้นเป้าหมายเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของพวกเขาให้แก่ชาวเมืองนั้น ๆ แผนการที่เลวร้ายนี้ได้แทรกซึมไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย ศูนย์วัฒนธรรมต่าง ๆ สถาบันสาธารณสุข หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ วีดีโอและภาพยนต์
การเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมตะวันตกที่อันตรายนี้ได้มีการทำงานกันอย่างเป็น ระบบ เพื่อเข้าไปอยู่ในทุกส่วนแห่งคุณค่าอิสลาม คุณค่าของอิสลามที่บริสุทธิ์ถูกกล่าวหาว่าเป็นวัฒนธรรมที่ล้าสมัย และภายในระยะเวลาอันนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ของพวกเขาก็ผูกขาดการบริหารหนังสือ พิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านอิสลาม สื่อมวลชนเหล่านี้แหละที่พวกเขาได้ใช้อย่างเต็มที่เพื่อที่จะแบ่งแยกความ คิดและจิตใจของมุสลิมออกจากคำสอนของอิสลามทุกรูปแบบ จากคุณค่าที่วางอยู่บนพื้นฐานหลักเตาฮีด ศีลธรรม และความศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และพวกเขาได้บรรจุสารพิษแห่งการปฏิเสธเข้าสู่สมองอันว่างเปล่านั้นในขณะ เดียวกันพวกเขาก็ใช้เทคนิคบิดเบือนให้เกิดความคลุมเครือ กล่าวคือ การทำโครงการซึ่งมีลักษณะภายนอกเป็นอิสลามแต่แก่นแท้ คือ การบิดเบือนมุสลิมให้ไขว้เขวจากอิสลาม เช่น การประกาศใช้ชื่อ อิสลาม ในโครงการต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ดำเนินการ
พวกเขามิได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้น หากแต่เราเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์โดยคนกลุ่มนี้ พวกเขาได้เสนอเรื่องที่ใช้ชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาโจมตีอิสลาม และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เกิดหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับหนึ่งที่มีชื่ออิสลาม แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากหนังสือพิมพ์อื่นทั่ว ๆ ไป ซึ่งเต็มไปด้วยรูปภาพที่ไม่ได้ส่อแสดงถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วการเกิดมาของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่าง ๆ นี้มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือ เพื่อทำลายจริยธรรม ตลอดจนการให้สารพิษทางความคิดแก่มุสลิม และกอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตัวเองในขณะเดียวกันด้วย และเบื้องหลังของเขามีนักการเมืองซึ่งคอยหวังผลประโยชน์จากการทำงานของสื่อ มวลชน เพื่อเพิ่มพลังอิทธิพลและรักษาเก้าอี้ของตนเองให้คงอยู่ต่อไป
แต่ในขณะเดียวกันก็มีนิตยสารที่ตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายที่บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อิสลามที่แท้จริง และต่อต้านสิ่งมุงกัรทั้งหลายทุกรูปแบบที่ปรากฏ ในที่สุดสำนักพิมพ์เหล่านั้นก็จะสูญหายไปที่ละสำนัก ๆ หนำซ้ำยังถูกตีตราว่ามีความงมงาย และสร้างความแตกแยกแก่สังคม หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่พวกกาฟิรจากตะวันตกอยู่เบื้องหลัง นับวันจะเติบโต และสามารถยืนหยัดอยู่ได้ พวกเขาได้ดำเนินการในทุกรูปแบบและทุกแง่มุม ช่วงแรกของขบวนการเหล่านี้ชาวตะวันตกเป็นผู้ทำงานเอง แต่ต่อมาภาระหน้าที่เหล่านี้ถูกมอบหมายให้กับนักเรียนมุสลิมเพื่อให้เจ้า ของประเทศยอมรับโดยปราศจากความลังเลใด ๆ นักเรียนเหล่านี้แหละที่มีบทบาทในการนำ เผยแพร่ปรัชญาสมัยใหม่ ๆไปสู่ชาวพื้นเมืองโดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่าขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) นั้นเป็นขบวนการต่อต้านศาสนาและคุณค่าแห่งจิตวิญญาณ
ตามทัศนะของมัรยัม ญะมีละฮฺ ในหนังสือของเธอ “อิสลามและมอร์เดริ์นนิสม์” ว่า “หากจะเปรียบขบวนการมอร์เดริ์นนิสม์ก็เป็นเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง และกิ่งก้านของมันก็คือลัทธิต่าง ๆ อันประกอบด้วย คอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ทุนนิยม ฟาสซิสต์ เป็นต้น”
ลักษณะของขบวนการสมัยนิยม (MODERNISM) มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การปฏิเสธวันปรโลก บาปบุญ และวันแห่งการตอบแทน เป็นต้น ฉะนั้นจึงสนับสนุนให้มนุษย์มีความสนุกสนาน เพลิดเพลินทางร่างกาย และวัตถุเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าแห่งอะกีดะฮฺและจริยธรรม
2. บูชาในความคิดและเหตุผลของมนุษย์ อำนาจทางวิทยาศาสตร์ถูกทำให้เหนืออำนาจของพระเจ้า
3. ชาตินิยม เป็นลักษณะสำคัญของขบวนการนี้ ซึ่งมันได้ให้การยกย่องและหยิ่งทะนงต่อประชาคมของตัวเองและปลูกฝังความ รู้สึกเกลียดชังแก่กลุ่มอื่น ๆ
4. มอร์เดริ์นนิสม์ พยายามที่จะทำลายระบบครอบครัว (ลดบทบาทสถาบันครอบครัว) คาร์ล มาร์กซ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า
“เราต้องสนับสนุนให้มนุษย์กำจัดระบบครอบครัวให้สูญสิ้นด้วยวิธีการ 3 ประการ คือ
- ขยายโรงงานอุตสาหกรรม
- ขยายสังคมเมือง
- ให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรี”
ทั้ง 3 ประการนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน โดยนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การทำลายสถาบันครอบครัว เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมได้เปิดรับคนเข้าทำงานและให้ค่าแรงงานที่คุ้มค่า ทำให้สตรีจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมือง และเมื่อทั้งสามี ภรรยา ต่างออกทำงานนอกบ้าน ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว เช่น ปัญหาการหย่าร้าง ครอบครัวขาดความอบอุ่น เพราะต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน
เมื่อ บิดาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีและสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะในด้านการอบรม เลี้ยงดูและการให้ความรักแก่ลูกของตน แม้พวกเขาจะส่งศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรืออนุบาลก็ตาม สถาบันเหล่านั้นไม่สามารถที่จะให้ความอบอุ่นได้เท่าเทียมที่พ่อแม่หยิบยื่น ให้ สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กและนี่คือต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้เยาวชนขาด จริยธรรม ซึ่งมีผลต่อสังคมโดยส่วนรวม
สโลแกนเรียกร้องสิทธิของสตรีก็มีบทบาทอีกเช่นกันในการทำลายสถาบันครอบครัว ให้อ่อนแอลง สตรีปัจจุบันมักจะคล้อยตามกับสิ่งล่อใจ นิตยสารบันเทิงและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่สนับสนุนให้ต่อต้านขนบธรรมเนียมประเพณี แม้ภายนอกเราเห็นถึงการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพสามารถให้ความเป็นธรรมแก่สตรี ได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันได้ทำลายวิถีชีวิตของสตรีเองต่างหาก เพราะสตรีเองกลายเป็นเครื่องมือทางการค้าธุรกิจ เพื่อกอบโกยผลกำไรของกลุ่มประโยชน์ (นายทุน) ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การโฆษณากิจการโสเภณี เป็นต้น นี่แหละนี่สาเหตุที่นำไปสู่ความเสื่อมทรามทางด้านจริยธรรมของสังคม ทำให้เกิดบุตรนอกสมรส โรคทางเพศ การกดขี่ การเข่นฆ่า และอาชญากรรมอื่น ๆ
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 4แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
มิชชันนารี่คนหนึ่ง ลอเรนซ์ บราวน์ ได้กล่าวว่า “หากประเทศมุสลิมในโลกอาหรับมีความสามัคคีเป็นเอกภาพกัน แน่นอนพวกเขาจะกลายเป็นซุงโลกขึ้นมาทันที แต่หากพวกเขาแตกแยกกันพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าใด ๆ และไม่มีอิทธิพลใด ๆ อีกเลย ปล่อยให้อาหรับและมุสลิมแตกแยกกันเถิด เผื่อว่าอำนาจจะได้หลุดไปจากพวกเขา”
ความเป็นเอกภาพของมุสลิมทั้งโลกเป็นสิ่งที่ตะวันตกเกรงกลัวยิ่งนัก เพราะพลังของมุสลิมนั้นตะวันตกไม่สามารถต้านทานได้ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ ความจริงข้อนี้ด้วยการสองอภิมหาอำนาจโลก โรมันและเปอร์เซียถูกโค่นล้มอย่างราบคาบมาแล้ว
ในปี 1907 ได้มีการประชุมใหญ่ทั่วประเทศตะวันตก ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นักปรัชญา นักการเมือง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเป็นประธาน ในการปราศรัยเขาได้กล่าวว่า “อารยะธรรมตะวันตกถูกโจมตีต้องประสบกับความเสียหายและสาบสูญไปในที่สุด ฉะนั้นเราต้องหาวิธีการที่ได้ผลเพื่อผดุงไว้ซึ่งอารยะธรรมของเราจากความเสีย หาย”
การประชุมดังกล่าวนั้นมีผลสรุปว่า จะต้องมีการวางแผนการให้มีการจัดตั้งกลุ่ม สมาคม ชมรม หรือองค์กรใด ๆ ในประเทศตะวันออกไกล เพราะหากประชาชาติอิสลามมีความเป็นเอกภาพแล้ว จะเป็นอันตรายต่ออนาคตของตะวันตก และในการประชุมสมัชชาดังกล่าวอีกเช่นกัน ได้มีมติเอกฉันท์ว่า จะต้องสร้างประเทศกลุ่มชาตินิยมตะวันตก ในประเทศตะวันออกของคลองสุเอซ เพื่อต่อต้านอาหรับมุสลิมและสร้างความแตกแยกให้แก่กลุ่มโลกอาหรับ
ด้วยเหตุนี้เองอังกฤษจึงได้ร่วมมือกับยิว เพื่อต่อสู้ร่วมกันในการสถาปนาประเทศอิสราเอลในแผ่นดินปาเลสไตน์ จากประการดังกล่าวนี้โยงใยไปสู่การประกาศอิสรภาพจากความเป็นอาหรับและอิส ลาม ได้มีการกล่าวถึงสโลแกนต่าง ๆ ที่มีการกล่าวขานกันว่า อาหรับ อารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียน และอียิปต์มีความสัมพันธ์กันและเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก ได้มีการเผยแผ่ความคิดเหล่านี้โดบผ่านสื่อมวลชน สร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมาใหม่ ชาตินิยมฟาโรห์ โพเนเชียน และอัสซีเรียน ซีเรีย อิรัค ชาตินิยมเผ่าพันธ์ กลุ่ม เผ่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา ทันใดนั้นประเทศที่ปกครองด้วยความร่วมมือของสมุนของมันก็ร้อนเป็นเชื้อ เพลิงปลุกพลังชาตินิยมขึ้นมาทำลายเอกภาพของประชาชาติทันที โปปซีมอน(POPE SIMON) กล่าวว่า “เอกภาพของประชาชาติอิสลามนั้นเป็นความหวังสูงสุดของประชาชาติของมัน และมันเป็นวิถีทางที่จะทำให้เขาหลุดออกจากอำนาจตะวันตก (โซ่ตรวนของตะวันตก) ณ จุดนี้เองบทบาทของมิชชันนารี่จึงมีความสำคัญมากในการตัดทอนพลังของมุสลิม ด้วยเหตุนี้เอง เราสมควรที่จะขัดขวางกระแสความเป็นเอกภาพของพวกเขาด้วยขบวนการมิชชันนารี”
แผนการที่ 4แผนการทำลายเอกภาพมุสลิม
มิชชันนารี่คนหนึ่ง ลอเรนซ์ บราวน์ ได้กล่าวว่า “หากประเทศมุสลิมในโลกอาหรับมีความสามัคคีเป็นเอกภาพกัน แน่นอนพวกเขาจะกลายเป็นซุงโลกขึ้นมาทันที แต่หากพวกเขาแตกแยกกันพวกเขาก็จะกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าใด ๆ และไม่มีอิทธิพลใด ๆ อีกเลย ปล่อยให้อาหรับและมุสลิมแตกแยกกันเถิด เผื่อว่าอำนาจจะได้หลุดไปจากพวกเขา”
ความเป็นเอกภาพของมุสลิมทั้งโลกเป็นสิ่งที่ตะวันตกเกรงกลัวยิ่งนัก เพราะพลังของมุสลิมนั้นตะวันตกไม่สามารถต้านทานได้ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ ความจริงข้อนี้ด้วยการสองอภิมหาอำนาจโลก โรมันและเปอร์เซียถูกโค่นล้มอย่างราบคาบมาแล้ว
ในปี 1907 ได้มีการประชุมใหญ่ทั่วประเทศตะวันตก ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย นักปรัชญา นักการเมือง ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีของอังกฤษเป็นประธาน ในการปราศรัยเขาได้กล่าวว่า “อารยะธรรมตะวันตกถูกโจมตีต้องประสบกับความเสียหายและสาบสูญไปในที่สุด ฉะนั้นเราต้องหาวิธีการที่ได้ผลเพื่อผดุงไว้ซึ่งอารยะธรรมของเราจากความเสีย หาย”
การประชุมดังกล่าวนั้นมีผลสรุปว่า จะต้องมีการวางแผนการให้มีการจัดตั้งกลุ่ม สมาคม ชมรม หรือองค์กรใด ๆ ในประเทศตะวันออกไกล เพราะหากประชาชาติอิสลามมีความเป็นเอกภาพแล้ว จะเป็นอันตรายต่ออนาคตของตะวันตก และในการประชุมสมัชชาดังกล่าวอีกเช่นกัน ได้มีมติเอกฉันท์ว่า จะต้องสร้างประเทศกลุ่มชาตินิยมตะวันตก ในประเทศตะวันออกของคลองสุเอซ เพื่อต่อต้านอาหรับมุสลิมและสร้างความแตกแยกให้แก่กลุ่มโลกอาหรับ
ด้วยเหตุนี้เองอังกฤษจึงได้ร่วมมือกับยิว เพื่อต่อสู้ร่วมกันในการสถาปนาประเทศอิสราเอลในแผ่นดินปาเลสไตน์ จากประการดังกล่าวนี้โยงใยไปสู่การประกาศอิสรภาพจากความเป็นอาหรับและอิส ลาม ได้มีการกล่าวถึงสโลแกนต่าง ๆ ที่มีการกล่าวขานกันว่า อาหรับ อารยธรรมเมดิเตอร์เรเนียน และอียิปต์มีความสัมพันธ์กันและเป็นส่วนหนึ่งของตะวันตก ได้มีการเผยแผ่ความคิดเหล่านี้โดบผ่านสื่อมวลชน สร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมาใหม่ ชาตินิยมฟาโรห์ โพเนเชียน และอัสซีเรียน ซีเรีย อิรัค ชาตินิยมเผ่าพันธ์ กลุ่ม เผ่า ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา ทันใดนั้นประเทศที่ปกครองด้วยความร่วมมือของสมุนของมันก็ร้อนเป็นเชื้อ เพลิงปลุกพลังชาตินิยมขึ้นมาทำลายเอกภาพของประชาชาติทันที โปปซีมอน(POPE SIMON) กล่าวว่า “เอกภาพของประชาชาติอิสลามนั้นเป็นความหวังสูงสุดของประชาชาติของมัน และมันเป็นวิถีทางที่จะทำให้เขาหลุดออกจากอำนาจตะวันตก (โซ่ตรวนของตะวันตก) ณ จุดนี้เองบทบาทของมิชชันนารี่จึงมีความสำคัญมากในการตัดทอนพลังของมุสลิม ด้วยเหตุนี้เอง เราสมควรที่จะขัดขวางกระแสความเป็นเอกภาพของพวกเขาด้วยขบวนการมิชชันนารี”
แผนการที่ 5สร้างความเคลือบแคลงแก่มุสลิมต่อศาสนาของพวกเขา
ในหนังสือ”สภาของผู้ทำงานเพื่อพระคริสต์” ได้เขียนว่า “มุสลิมได้อ้างว่าคำสอนของอิสลามนั้นจะครอบคลุมในการสนองตอบแก่สังคมมุสลิม ในทุกแง่มุม ฉะนั้นมิชชันนารีจะต้องต่อต้านอิสลามด้วยอาวุธทางความคิดและจิตวิญญาณ”
เพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น นักบูรพาคดีจึงได้มุ่งวิเคราะห์เจาะจงอิสลามว่าพวกเขาได้ศึกษาอิสลามอย่าง ลึกซึ้ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ส่งมิชชันนารี่คริสเตียนไปสู่ประเทศมุสลิมทั่ว ประเทศ โดยผิวเผินแล้วพวกเขาส่งไปทำหน้าที่แห่งมนุษยธรรม เช่น การสร้างโรงพยาบาล ศูนย์สงเคราะห์ประชาชน เป็นต้น แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเบ้าหลอมที่จะบิดเบือนหลักอะกีดะฮฺของประชาชาติ อิสลาม
พวกเขาได้หว่านโรยความดีนั้นไว้ จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง ประชาชาติได้ติดบุญคุณ ก็จะรู้สึกผูกพัน ในวิธีนั้นแหละถึงเวลาที่จะต้องจูงใจบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาหรือเป็นมุ รตัด กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งของพวกเขา คือ การปราศัย บรรยายทางวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับสูง มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และกรมวิชาการ และทีพวกเขาถูกเชื้อเชิญโดยฝ่ายที่มีอำนาจที่มีความสึกต่อต้านอิสลาม โดยมีเป้าหมายที่จะกีดกั้นการฟื้นฟูอิสลาม เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วในเรื่องนี้
ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามแผ่ขยายกว้างขวางในสถาบันการศึกษาระดับสูง จนก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทียนต่อญาฮีลียะฮฺที่มีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่อิสลามดั้งเดิม ในการปราบปรามกลุ่มเหล่านี้ ฝ่ายผู้ปกครองก็ได้เชื้อเชิญนักบูรพาคดีซึ่งก่อนนี้เคยมีเชื้อเสียง ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในนามนักคิดอิสลามที่มีชื่อเสียง พวกเขาเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาที่พวกเขาไม่อาจดำเนินการได้ นักคิดดังกล่าวนั้นอันตรายอย่างที่สุด และเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลาม
สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศอาหรับ เช่น ไคโร ดามัสกัสแบกแดด ราบัต ลาฮอร์ การาจี อาลีฆา และ (ไม่ยกเว้น) มาเลเซีย
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เสนอบทความและข้อเขียนของพวกเขาในหนังสือต่าง ๆ ดร.มุสตอฟา อัลคอลิดีย์ ได้เขียนในหนังสือของท่าน Missionaries and Twipenalisme ว่า “บรรดามิชชันนารี่คริสเตียน ได้ยืนยันว่าพวกเขาสามารถควบคุมหนังสือพิมพ์ของอียิปต์ เพื่อถ่ายทอดแนวคิดของคริสเตียน และการบรรจุข้อเขียนนั้น พวกเขาเป็นผู้ออกทุนเอง” นอกจากนี้แล้วพวกเขายังได้จัดทำสารานุกรม Encyclopedia of Islam ในภาษาต่าง ๆ พวกเขาได้สอดแทรกข้อมูลปลอม ยาพิษ และการฉ้อฉลต่ออิสลาม ซึ่งน่าเป็นที่น่าเวทนาที่สารานุกรมดังกล่าวนั้นกลายเป็นแหล่งอ้างอิงของนัก วิชาการของพวกเราได้นำข้อมูลมาใช้ในการอ้างอิงและการวิเคราะห์
ในหนังสือ”สภาของผู้ทำงานเพื่อพระคริสต์” ได้เขียนว่า “มุสลิมได้อ้างว่าคำสอนของอิสลามนั้นจะครอบคลุมในการสนองตอบแก่สังคมมุสลิม ในทุกแง่มุม ฉะนั้นมิชชันนารีจะต้องต่อต้านอิสลามด้วยอาวุธทางความคิดและจิตวิญญาณ”
เพื่อเป้าหมายดังกล่าวนั้น นักบูรพาคดีจึงได้มุ่งวิเคราะห์เจาะจงอิสลามว่าพวกเขาได้ศึกษาอิสลามอย่าง ลึกซึ้ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้ส่งมิชชันนารี่คริสเตียนไปสู่ประเทศมุสลิมทั่ว ประเทศ โดยผิวเผินแล้วพวกเขาส่งไปทำหน้าที่แห่งมนุษยธรรม เช่น การสร้างโรงพยาบาล ศูนย์สงเคราะห์ประชาชน เป็นต้น แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นเบ้าหลอมที่จะบิดเบือนหลักอะกีดะฮฺของประชาชาติ อิสลาม
พวกเขาได้หว่านโรยความดีนั้นไว้ จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง ประชาชาติได้ติดบุญคุณ ก็จะรู้สึกผูกพัน ในวิธีนั้นแหละถึงเวลาที่จะต้องจูงใจบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาหรือเป็นมุ รตัด กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งของพวกเขา คือ การปราศัย บรรยายทางวิชาการในสถาบันการศึกษาระดับสูง มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และกรมวิชาการ และทีพวกเขาถูกเชื้อเชิญโดยฝ่ายที่มีอำนาจที่มีความสึกต่อต้านอิสลาม โดยมีเป้าหมายที่จะกีดกั้นการฟื้นฟูอิสลาม เราคงจะทราบกันดีอยู่แล้วในเรื่องนี้
ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามแผ่ขยายกว้างขวางในสถาบันการศึกษาระดับสูง จนก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทียนต่อญาฮีลียะฮฺที่มีอยู่ก่อนแล้ว กลุ่มนี้ต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่อิสลามดั้งเดิม ในการปราบปรามกลุ่มเหล่านี้ ฝ่ายผู้ปกครองก็ได้เชื้อเชิญนักบูรพาคดีซึ่งก่อนนี้เคยมีเชื้อเสียง ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในนามนักคิดอิสลามที่มีชื่อเสียง พวกเขาเหล่านั้นได้รับมอบหมายให้แก้ปัญหาที่พวกเขาไม่อาจดำเนินการได้ นักคิดดังกล่าวนั้นอันตรายอย่างที่สุด และเป็นปฏิปักษ์ต่ออิสลาม
สิ่งเหล่านี้มักเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาระดับสูงในประเทศอาหรับ เช่น ไคโร ดามัสกัสแบกแดด ราบัต ลาฮอร์ การาจี อาลีฆา และ (ไม่ยกเว้น) มาเลเซีย
ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้เสนอบทความและข้อเขียนของพวกเขาในหนังสือต่าง ๆ ดร.มุสตอฟา อัลคอลิดีย์ ได้เขียนในหนังสือของท่าน Missionaries and Twipenalisme ว่า “บรรดามิชชันนารี่คริสเตียน ได้ยืนยันว่าพวกเขาสามารถควบคุมหนังสือพิมพ์ของอียิปต์ เพื่อถ่ายทอดแนวคิดของคริสเตียน และการบรรจุข้อเขียนนั้น พวกเขาเป็นผู้ออกทุนเอง” นอกจากนี้แล้วพวกเขายังได้จัดทำสารานุกรม Encyclopedia of Islam ในภาษาต่าง ๆ พวกเขาได้สอดแทรกข้อมูลปลอม ยาพิษ และการฉ้อฉลต่ออิสลาม ซึ่งน่าเป็นที่น่าเวทนาที่สารานุกรมดังกล่าวนั้นกลายเป็นแหล่งอ้างอิงของนัก วิชาการของพวกเราได้นำข้อมูลมาใช้ในการอ้างอิงและการวิเคราะห์
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 6 ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
โมโร เบอเกอร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “โลกอาหรับ” ว่า “ประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ว่า พลังของอาหรับก็คือพลังของอิสลาม ฉะนั้นจงทำลายล้างอาหรับให้เสื่อมลง ความเสื่อมของพวกเขานั้นเองแหละที่จะทำลายอิสลาม(อีกครั้งหนึ่ง)”
แผนการนี้เป็นแผนการที่เด่นมากในขณะนี้ เราจะสังเกตเห็นได้จากโลกอาหรับว่า ประเทศเหล่านั้นถูกล้อเลียนโดยมหาอำนาจตะวันตกเพียงใด พวกเขาทำสงครามด้วยกันเองในขณะเดียวกันที่ผู้กอบโกยกำไรจากการขายอาวุธ คือ ประเทศตะวันตก
การศึกษาภาษาอาหรับ กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาต้องการสร้างชนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ภาษาอัลกุรอ่าน และแยกตัวออกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และความรู้เกี่ยวกับอิสลามที่แท้จริง สำหรับชาวอาหรับที่วางรากฐานอยู่บนพื้นฐานอิสลาม และอัลกุรอ่าน ถูกค้นพบว่า รากฐานของระบบชีวิตของชาวอาหรับนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงหรือรับวัฒนธรรมภาย นอก (ต่างชาติ) ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ฝ่ายปรปักษ์ได้มุ่งความพยายามของพวกเขาไปสู่การทำลาย รากฐานดังกล่าว และพวกเขาได้เปลี่ยนเข็มของชาวอาหรับไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งนำไปสู่การทำลายเอกลักษณ์ของตัวเอง ตลอดจนบังคับพวกเขาให้เปิดโอกาสให้กับอิทธิพลจากต่างชาติ ฉะนั้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ประเทศเหล่านั้นจึงตกเป็นอาณานิคมทางความคิดไป
โมโร เบอเกอร์ ได้ยืนยันในหนังสือของเขาว่า “ความระวังของเราต่อโลกอาหรับและที่เราได้ให้ความสนใจต่อพวกเขานั้น มิใช่เพราะปีโตรเลี่ยมที่พวกเขามี หากแต่เพราะอิสลามที่เขามีต่างหาก” “ภาระหน้าที่ต่อสู้กับอิสลามก็เพื่อที่จะขัดขวางการเกิดมาของภาคีอาหรับ เพราะพลังของกลุ่มอาหรับ จะเคียงข้างพลังของอิสลาม... การแผ่ขยายของอิสลามได้สร้างความแปลกประหลาดแก่เรา ที่อิสลามสามารถแผ่ขยายในอัฟริกาอย่างงายดาย...”
แผนการที่ 6 ทำลายเอกภาพของโลกอาหรับ
โมโร เบอเกอร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ “โลกอาหรับ” ว่า “ประวัติศาสตร์ได้บอกไว้ว่า พลังของอาหรับก็คือพลังของอิสลาม ฉะนั้นจงทำลายล้างอาหรับให้เสื่อมลง ความเสื่อมของพวกเขานั้นเองแหละที่จะทำลายอิสลาม(อีกครั้งหนึ่ง)”
แผนการนี้เป็นแผนการที่เด่นมากในขณะนี้ เราจะสังเกตเห็นได้จากโลกอาหรับว่า ประเทศเหล่านั้นถูกล้อเลียนโดยมหาอำนาจตะวันตกเพียงใด พวกเขาทำสงครามด้วยกันเองในขณะเดียวกันที่ผู้กอบโกยกำไรจากการขายอาวุธ คือ ประเทศตะวันตก
การศึกษาภาษาอาหรับ กลับไม่ได้รับความสนใจ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาต้องการสร้างชนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้ภาษาอัลกุรอ่าน และแยกตัวออกจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และความรู้เกี่ยวกับอิสลามที่แท้จริง สำหรับชาวอาหรับที่วางรากฐานอยู่บนพื้นฐานอิสลาม และอัลกุรอ่าน ถูกค้นพบว่า รากฐานของระบบชีวิตของชาวอาหรับนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงหรือรับวัฒนธรรมภาย นอก (ต่างชาติ) ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ฝ่ายปรปักษ์ได้มุ่งความพยายามของพวกเขาไปสู่การทำลาย รากฐานดังกล่าว และพวกเขาได้เปลี่ยนเข็มของชาวอาหรับไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งนำไปสู่การทำลายเอกลักษณ์ของตัวเอง ตลอดจนบังคับพวกเขาให้เปิดโอกาสให้กับอิทธิพลจากต่างชาติ ฉะนั้น ด้วยปัจจัยเหล่านี้นี่เองที่ประเทศเหล่านั้นจึงตกเป็นอาณานิคมทางความคิดไป
โมโร เบอเกอร์ ได้ยืนยันในหนังสือของเขาว่า “ความระวังของเราต่อโลกอาหรับและที่เราได้ให้ความสนใจต่อพวกเขานั้น มิใช่เพราะปีโตรเลี่ยมที่พวกเขามี หากแต่เพราะอิสลามที่เขามีต่างหาก” “ภาระหน้าที่ต่อสู้กับอิสลามก็เพื่อที่จะขัดขวางการเกิดมาของภาคีอาหรับ เพราะพลังของกลุ่มอาหรับ จะเคียงข้างพลังของอิสลาม... การแผ่ขยายของอิสลามได้สร้างความแปลกประหลาดแก่เรา ที่อิสลามสามารถแผ่ขยายในอัฟริกาอย่างงายดาย...”
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 7 สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
นักบูรพาคดีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ดับบลิว เค สมิธ (W.K.SMITH) ซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องได้กล่าวว่า “หากปลดปล่อยมุสลิมให้อิสระ (ให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิม) และให้พวกเขาอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อิสลามจะครอบครองประเทศนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นโดยระบอบเผด็จการเท่านั้นที่สามารถขัดขวางการเผยแผ่ขยายของอิสลาม ได้”
บรรณาธิการนิตยสารไทม์ (TIMES) ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา “การเดินทางของเอเชีย” ให้ผู้เสนอแนะแก่ผู้นำอเมริกา เพื่อให้สร้างรัฐเผด็จการทหาร เพื่อที่จะได้ขัดขวางการขยายตัวของอิสลามต่อประชาชาติของเขา และพวกเขามีความหวาดกลัวว่ามันจะขยายอิทธิพลถึงโลกตะวันตกวัฒนธรรมและ อาณานิคมของเขา แม้ว่าประเทศตะวันตกจะให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิมก็ตาม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมิได้หมายความว่าเป็นเอกราชที่สมบูรณ์ เพราะสิ่งที่พวกเขาได้สร้าง (ทอดทิ้ง) ไว้ในรูปของระบบ กฎหมาย ปรากฎชัดว่ายังเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ข้าทาสที่พวกเขาได้ฝากความไว้ได้ทำหน้าที่ให้แก่พวกเขาต่อไป ทั้งที่พวกนั้นเป็นลูกหลานก็ตาม
ระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ตกทอดเอาไว้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้าง อะกีดะฮฺของประชาชาติอิสลาม เพราะความหมายของประชาธิปไตยก็คือการยึดถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน กล่าวคือ ทุกคนในท้องที่มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน และสามารถคิดค้นกฎหมายตามความต้องการของพวกเขาที่ผ่านมาแล้วนั้น เราได้วิเคราะห์ 2 ระบบที่กล่าวมา เราสรุปได้ว่า ระบบเซคคิวลาริสม์ (SECULARISM) เป็นการปลดปล่อยมนุษย์จากการสักการระบูชา การจำนน และเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ ตลอดจนถึงลักษณะทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้ว ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของตัวเอง โดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันที่ระบบ ชาตินิยม (NATIONALISM) กลับสร้างความตระหนี่ หยิ่งยะโสและเห็นแก่ตัว และมองผู้อื่นอย่างดูแคลน หลังจากนั้นก็เกิดระบบประชาธิปไตย ยิ่งเพิ่มความหยิ่งยะโสให้กับมนุษย์ที่ถูกมอมเมาด้วยชาตินิยมอยู่แล้วเข้าไป อีก แทนที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพวกเขาเขาได้สร้างกฎหมายอื่นขึ้นมา บรรดาผู้มีอิทธิพลได้ใช้รัฐบาล และกองกำลังความเข้มแข็งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเขาได้วาง ไว้ นี่คือ ระบอบเผด็จการ ซึ่งประเทศมุสลิมส่วนมากกำลังดำเนินการ รวมทั้งมาเลเซียด้วย
แผนการที่ 7 สร้างรัฐเผด็จการในโลกอาหรับ
นักบูรพาคดีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ ดับบลิว เค สมิธ (W.K.SMITH) ซึ่งเป็นปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องได้กล่าวว่า “หากปลดปล่อยมุสลิมให้อิสระ (ให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิม) และให้พวกเขาอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อิสลามจะครอบครองประเทศนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นโดยระบอบเผด็จการเท่านั้นที่สามารถขัดขวางการเผยแผ่ขยายของอิสลาม ได้”
บรรณาธิการนิตยสารไทม์ (TIMES) ได้เขียนไว้ในหนังสือของเขา “การเดินทางของเอเชีย” ให้ผู้เสนอแนะแก่ผู้นำอเมริกา เพื่อให้สร้างรัฐเผด็จการทหาร เพื่อที่จะได้ขัดขวางการขยายตัวของอิสลามต่อประชาชาติของเขา และพวกเขามีความหวาดกลัวว่ามันจะขยายอิทธิพลถึงโลกตะวันตกวัฒนธรรมและ อาณานิคมของเขา แม้ว่าประเทศตะวันตกจะให้เอกราชแก่ประเทศมุสลิมก็ตาม แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นมิได้หมายความว่าเป็นเอกราชที่สมบูรณ์ เพราะสิ่งที่พวกเขาได้สร้าง (ทอดทิ้ง) ไว้ในรูปของระบบ กฎหมาย ปรากฎชัดว่ายังเป็นประโยชน์แก่พวกเขา ข้าทาสที่พวกเขาได้ฝากความไว้ได้ทำหน้าที่ให้แก่พวกเขาต่อไป ทั้งที่พวกนั้นเป็นลูกหลานก็ตาม
ระบอบประชาธิปไตยที่พวกเขาได้ตกทอดเอาไว้นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้าง อะกีดะฮฺของประชาชาติอิสลาม เพราะความหมายของประชาธิปไตยก็คือการยึดถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตัดสิน กล่าวคือ ทุกคนในท้องที่มีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตน และสามารถคิดค้นกฎหมายตามความต้องการของพวกเขาที่ผ่านมาแล้วนั้น เราได้วิเคราะห์ 2 ระบบที่กล่าวมา เราสรุปได้ว่า ระบบเซคคิวลาริสม์ (SECULARISM) เป็นการปลดปล่อยมนุษย์จากการสักการระบูชา การจำนน และเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ ตลอดจนถึงลักษณะทางจริยธรรมที่มีอยู่แล้ว ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของตัวเอง โดยไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อผู้อื่นทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันที่ระบบ ชาตินิยม (NATIONALISM) กลับสร้างความตระหนี่ หยิ่งยะโสและเห็นแก่ตัว และมองผู้อื่นอย่างดูแคลน หลังจากนั้นก็เกิดระบบประชาธิปไตย ยิ่งเพิ่มความหยิ่งยะโสให้กับมนุษย์ที่ถูกมอมเมาด้วยชาตินิยมอยู่แล้วเข้าไป อีก แทนที่ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพวกเขาเขาได้สร้างกฎหมายอื่นขึ้นมา บรรดาผู้มีอิทธิพลได้ใช้รัฐบาล และกองกำลังความเข้มแข็งทุกอย่างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเขาได้วาง ไว้ นี่คือ ระบอบเผด็จการ ซึ่งประเทศมุสลิมส่วนมากกำลังดำเนินการ รวมทั้งมาเลเซียด้วย
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 8 แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจากตะวันตก
ในปี 1952 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสได้ชี้แจงว่า “เราจะอำนวยทุกสิ่งทุกอย่างตามที่โลกอิสลามปรารถนา และเราจะกระตุ้นมิให้พวกเขาผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีจนกระทั่งพวกเขายืนขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าหากเราล้มเหลวในจุดประสงค์นี้ อันหมายถึงการปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในความล้าหลังและความโง่เขลา และความรู้สึกมีปมด้อย แน่นอนที่เดียวว่าเราจะต้องเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง โลกอาหรับและพลังทั้งมวลของอิสลามที่ยิ่งใหญ่และอันตรายนั้นจะทำลายโลกตะวัน ตก และบทบาทชี้นำโลกที่อยู่ในมือของพวกตะวันตกก็จะต้องยุติลง”
“โลกมุสลิมมีความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขามีมรดกตกทอดเป็นของเขาเองและมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง พวกเขามีความสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้แก่โลก โดยไม่ต้องอาศัยจากตะวันตกเลย เมื่อใดที่พวกเขาสามารถสร้างตนเองทางด้านอุตสาหกรรมที่ขวางกั้นแล้ว ไม่ใช่ด้วยความเข้มแข็งของพวกเขากระนั้นหรือที่ทำให้โลกตะวันตกพ่ายแพ้หลับ ใหลในฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”
ด้วยเหตุนี้พวกตะวันตกพยายามที่จะกดขี่ทางด้านอุตสาหกรรมของประชาชาติอิสลาม นี่แหละเป็นปัจจัยให้พวกเขาร่วมมือกันทำงานกับเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อระบายสินค้าที่พวกเขาผลิตขึ้นมา และซื้อของจากเราไปในราคาที่ต่ำมาก
แผนการที่ 8 แยกมุสลิมออกจากการครอบครองอุตสาหกรรม และมอมเมาสินค้าจากตะวันตก
ในปี 1952 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสได้ชี้แจงว่า “เราจะอำนวยทุกสิ่งทุกอย่างตามที่โลกอิสลามปรารถนา และเราจะกระตุ้นมิให้พวกเขาผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีจนกระทั่งพวกเขายืนขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าหากเราล้มเหลวในจุดประสงค์นี้ อันหมายถึงการปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในความล้าหลังและความโง่เขลา และความรู้สึกมีปมด้อย แน่นอนที่เดียวว่าเราจะต้องเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวง โลกอาหรับและพลังทั้งมวลของอิสลามที่ยิ่งใหญ่และอันตรายนั้นจะทำลายโลกตะวัน ตก และบทบาทชี้นำโลกที่อยู่ในมือของพวกตะวันตกก็จะต้องยุติลง”
“โลกมุสลิมมีความเป็นตัวของตัวเอง พวกเขามีมรดกตกทอดเป็นของเขาเองและมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง พวกเขามีความสามารถในการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้แก่โลก โดยไม่ต้องอาศัยจากตะวันตกเลย เมื่อใดที่พวกเขาสามารถสร้างตนเองทางด้านอุตสาหกรรมที่ขวางกั้นแล้ว ไม่ใช่ด้วยความเข้มแข็งของพวกเขากระนั้นหรือที่ทำให้โลกตะวันตกพ่ายแพ้หลับ ใหลในฤดูกาลประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา”
ด้วยเหตุนี้พวกตะวันตกพยายามที่จะกดขี่ทางด้านอุตสาหกรรมของประชาชาติอิสลาม นี่แหละเป็นปัจจัยให้พวกเขาร่วมมือกันทำงานกับเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อระบายสินค้าที่พวกเขาผลิตขึ้นมา และซื้อของจากเราไปในราคาที่ต่ำมาก
muhtadeen alhaq:
แผนการที่ 9 กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติมุสลิมให้สิ้นสุดลง
จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสามารถและความพยายามของบรรดานักคิดอิสลามนั่นเอง ที่จะปลุกร้าวประชาชาติอิสลามให้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ดังที่เราสามารถเห็นได้จากการเกิดขึ้นมาของบรรดานักคิดรุ่นใหม่ และนักต่อสู้เพื่ออิสลาม พวกเขากลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทของการญิฮาด เพื่อที่จะเรียกร้องให้อิสลามกลับมาใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสิทธิของ มัน หลังจากที่อิสลามได้หายไปเป็นเวลานานพร้อม ๆ กับความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม และความคร่ำครึของนักปราชญ์ อุลามาอฺ และนี่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นกลัวของชาวตะวันตก ดังที่ได้รับการยอมรับโดยอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบน โกเรียน (BEN GORIEN) “บรรดาสิ่งที่เราเกรงกลัวก็คือการกำเนิมุหัมหมัดคนใหม่ในโลกอิสลาม” และเอ เอ กิ๊บ ได้เขียนในหนังสือของเขาว่า“ขบวนการอิสลามได้เปลี่ยนแปลงรูปใหม่ จากธรรมดากลายเป็นรูปใหม่ที่น่าเกรงขาม มันผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ชนิดไม่มีสัญญาณขึ้นมาให้เห็นเลย มันได้สร้างความงงงวยแก่ผู้ที่เฝ้าสังเกตมัน ขบวนการอิสลามมิเคยสูญสิ้น อะไรจะเกิดขึ้นหากมี ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ คนใหม่ได้กำเนิดขึ้นมา”
เช่นเดียวกับนักบูรพาคดี มอนเตอร์โกเมอรี่ วัตต์ (MONTEGOMERY WATT) ได้แสดงความวิตกกังวลในหนังสือ London Times ว่า “เมื่อมีผู้นำที่มีความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอิส ลาม มันเป็นไปได้ที่ศาสนานั้นจะผุดขึ้นมากลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ใน โลกนี้อีกครั้งหนึ่ง” เพราะการเกิดใหม่ของอิสลามนั้น หมายถึง เคราะห์กรรมของชาวตะวันตกที่ต้องประสบภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายของพวกเขา ความรู้สึกหวาดผวา และวิตกกังวลนี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตผู้ปกครองประเทศเผด็จการโปรตุเกสว่า “ข้าพเจ้ามีความวิตกว่า จะมีผู้นำใหม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม ซึ่งจะต่อต้านการเคลื่อนไหวของเรา และจะต่อต้านเราอีก” จากหลักฐานดังกล่าว ตะวันตกจึงได้ร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายในการทำลาบล้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ อิสลามโดยการสังหารผู้นำของพวกเขาแม้ว่าพวกเขามิได้มีส่วนร่วมโดยตรงในแผน การดังกล่าว แต่สมุนรับใช้ของพวกเขานั่นแหละที่เป็นผู้ปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเข้มงวดในทุกหนทุกแห่งที่มีขบวนการอิสลามเคลื่อน ไหวอยู่เราคงไม่เคยลืมเหตุการณ์การปฏิบัติการของอังกฤษในการเข่นฆ่าผู้นำ และทำลายขบวนการของ เชคมุหัมหมัด อับดุลวาฮับ ในคาบสมุทรอาหรับ ขบวนการของเชค อุษมาน และโฟดิโอในประเทศไนจีเรีย และขบวนการมะฮฺดีแห่งซูดาน แล้วเราไม่เคยเห็นดอกหรือถึงการปฏิบัติการของพวกเขาที่ได้เชิดหุ่นรัฐบาล อียิปต์ ที่เซคคิวลาร์ (แบ่งแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร) โซเซียลิสม์ (สังคมนิยม) เอียงซ้าย คอมมิวนิสต์เพื่อทำลายขบวนการอิควานนุลมุสลีมูน
แผนการที่ 9 กำจัดบรรดานักคิดอิสลาม และ ทำลายขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชาติมุสลิมให้สิ้นสุดลง
จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสามารถและความพยายามของบรรดานักคิดอิสลามนั่นเอง ที่จะปลุกร้าวประชาชาติอิสลามให้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง ดังที่เราสามารถเห็นได้จากการเกิดขึ้นมาของบรรดานักคิดรุ่นใหม่ และนักต่อสู้เพื่ออิสลาม พวกเขากลับมาทบทวนกันใหม่ถึงบทบาทของการญิฮาด เพื่อที่จะเรียกร้องให้อิสลามกลับมาใหม่ให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสิทธิของ มัน หลังจากที่อิสลามได้หายไปเป็นเวลานานพร้อม ๆ กับความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม และความคร่ำครึของนักปราชญ์ อุลามาอฺ และนี่เป็นสิ่งที่น่าหวั่นกลัวของชาวตะวันตก ดังที่ได้รับการยอมรับโดยอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบน โกเรียน (BEN GORIEN) “บรรดาสิ่งที่เราเกรงกลัวก็คือการกำเนิมุหัมหมัดคนใหม่ในโลกอิสลาม” และเอ เอ กิ๊บ ได้เขียนในหนังสือของเขาว่า“ขบวนการอิสลามได้เปลี่ยนแปลงรูปใหม่ จากธรรมดากลายเป็นรูปใหม่ที่น่าเกรงขาม มันผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ชนิดไม่มีสัญญาณขึ้นมาให้เห็นเลย มันได้สร้างความงงงวยแก่ผู้ที่เฝ้าสังเกตมัน ขบวนการอิสลามมิเคยสูญสิ้น อะไรจะเกิดขึ้นหากมี ซอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ คนใหม่ได้กำเนิดขึ้นมา”
เช่นเดียวกับนักบูรพาคดี มอนเตอร์โกเมอรี่ วัตต์ (MONTEGOMERY WATT) ได้แสดงความวิตกกังวลในหนังสือ London Times ว่า “เมื่อมีผู้นำที่มีความเหมาะสมและความเชี่ยวชาญได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอิส ลาม มันเป็นไปได้ที่ศาสนานั้นจะผุดขึ้นมากลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ใน โลกนี้อีกครั้งหนึ่ง” เพราะการเกิดใหม่ของอิสลามนั้น หมายถึง เคราะห์กรรมของชาวตะวันตกที่ต้องประสบภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งอาจจะต้องถึงวาระสุดท้ายของพวกเขา ความรู้สึกหวาดผวา และวิตกกังวลนี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตผู้ปกครองประเทศเผด็จการโปรตุเกสว่า “ข้าพเจ้ามีความวิตกว่า จะมีผู้นำใหม่เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม ซึ่งจะต่อต้านการเคลื่อนไหวของเรา และจะต่อต้านเราอีก” จากหลักฐานดังกล่าว ตะวันตกจึงได้ร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายในการทำลาบล้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อ อิสลามโดยการสังหารผู้นำของพวกเขาแม้ว่าพวกเขามิได้มีส่วนร่วมโดยตรงในแผน การดังกล่าว แต่สมุนรับใช้ของพวกเขานั่นแหละที่เป็นผู้ปฏิบัติการ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเข้มงวดในทุกหนทุกแห่งที่มีขบวนการอิสลามเคลื่อน ไหวอยู่เราคงไม่เคยลืมเหตุการณ์การปฏิบัติการของอังกฤษในการเข่นฆ่าผู้นำ และทำลายขบวนการของ เชคมุหัมหมัด อับดุลวาฮับ ในคาบสมุทรอาหรับ ขบวนการของเชค อุษมาน และโฟดิโอในประเทศไนจีเรีย และขบวนการมะฮฺดีแห่งซูดาน แล้วเราไม่เคยเห็นดอกหรือถึงการปฏิบัติการของพวกเขาที่ได้เชิดหุ่นรัฐบาล อียิปต์ ที่เซคคิวลาร์ (แบ่งแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร) โซเซียลิสม์ (สังคมนิยม) เอียงซ้าย คอมมิวนิสต์เพื่อทำลายขบวนการอิควานนุลมุสลีมูน
แผนการที่ 10 ทำลายสตรีและขยายสังคมเสรี
แผนการที่ 10 เป็นแผนการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากบรรดาแผนการที่ตะวันตกทำลายอิส ลาม ได้รับคำยืนยันอย่างภาคภูมิใจจาก แอนท์ มาลีคัม (Ant Maligam) ว่า “เราประสบความสำเร็จในการรวบรวมบรรดาหญิงสาว (นักเรียนหญิง) ในระดับมัธยมและระดับสูงทุกชั้นปี ในวิทยาลัยตะวันตกในไคโร ไม่มีที่ใดที่เราสามารถรวบรวมหญิงสาวมุสลิมได้มากเท่านี้ เพราะไม่มีวิธีการใดที่ใกล้กว่านี้อีกแล้วในการทำลายป้อมปราการอิสลาม”
การแทรกแซงทางการศึกษาเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดของตะวันตก ในการลบล้างอะกีดะฮฺอิสลาม ในขณะเดียวกันก็เบี่ยงเบนพวกเขาให้หันออกจากอิสลาม บางคนต้องออกจากสามี หรือเพื่อนๆ พวกเขาใช้สตรีเป็นเครื่องมือในการทำลายเอกลักษณ์ของสังคมมุสลิม
หากเราพิจารณาจากแฟ้มประวัติศาสตร์แล้ว เราจะพบกับความเสื่อมเสียและความล่มสลายของชาติใดชาติหนึ่งหรือประเทศใด ประเทศหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยสตรีเป็นเหตุเสมอเราจะพบเห็นบ่อย ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในเรื่องการมั่วสุมกับสตรีของบุคคลระดับประเทศ ในที่สุดก็ต้องเสียตำแหน่งของตัวเองไป เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย มันช่างสอดคล้องกันเหลือเกินกับคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ) ว่า “จะไม่มีภัยพิบัติใดสำหรับชาย หลังจากฉัน (เสียชีวิต) ยิ่งไปกว่าสตรี”
จากการรายงานข่าวจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนรายงานว่า พวกผู้นำยิวได้เปิดทางให้หนุ่มอาหรับได้สังคมกับหญิงชาวยิวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งบริเวณชายหาด และสนับสนุนให้หญิงชาวยิวได้ผิดประเวณักับหนุ่มอาหรับ และในเขตพื้นที่ที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ก็จัดส่งภาพยนตร์ลามก สร้างสถานอาบอบนวด ดิสโก้เธค ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อทำลายจริยธรรมของประชาชาติอิสลามและทำ ให้พวกเขาได้ละเลยจากสนามแห่งการญิฮาด แผนการข้อนี้สอดคล้องกับกฎบัตรของยิวข้อที่ 6 ตราไว้ว่า “เรา (ยิว) จะเล่นบทบาทในการทำลายเยาวชนที่ไม่ใช่ยิว โดยพ่นสารพิษเข้าไปในความคิดของเขา ด้วยทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ จนในที่สุดสตรีจะเป็นเครื่องมือในการบำเรอผู้ชาย ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม”
แต่สิ่งที่ทำให้เรารูสึกหดหู่ใจเป็นอย่างหนักก็คือ ผู้ที่ไหลไปตามกระแสแห่งความหลอกลวงนี้มิใช่เฉพาะสตรีที่ไม่มีความรู้ทาง ศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสตรีที่มีความรู้เรื่องศาสนาด้วย อาจเป็นเพราะว่าอิสลามที่พวกเขายึดถือเป็นอิสลามสมัยใหม่เสียแล้ว ซึ่งมันมีท่าทีประการหนึ่งว่าเหมาะสมกับทัศนคติทางโลกนิยมที่ถูกเผย แพร่อย่างกว้างขวางแถบทุกตารางนิ้ว
นักคิดอย่าง กอเซ็ม อามีน , เชคคอลิด มูหัมหมัด คอลิด , ดุรรียะฮฺ ศอฟิก ลุตฟี , อัซซัยยิด ฏอฮา ฮูเซ็น , ซัยยิด อามีร อาลี , เมาลานา มูหัมหมัด อาลี ลาโฮร์ , ซิยาร์ โกคัลป์ , มุสตาฟา เคมาล อตาเตริก , อดีบะตุซซะมาน วาฮานี , ราเด็น อัดเจง การ์ดนี , อัซซัยยิด เชค อัลฮาดี และคนอื่น ๆ ที่เป็นพวกสมัยนิยม เช่นเดียวกับบรรดาอูลามาอฺที่อยู่ในตำแหน่งรัฐบาลจัดให้ บุคคลเหล่านี้แหละที่เป็นตัวจักรในการปลดปล่อยสตรีภายประชาชาติอิสลาม และความพยายามของพวกเขาได้รับการปรบมือจากบรรดาผู้ปฏิเสธจากมิตรชาวตะวันตก เช่น ซามูเอล สุวัยเมอร์ , เคนเนช แครก , วิลเฟรด คอนเวล , และบุคคลอื่น ๆ จากนักบูรพาคดี
แผนการที่ 10 เป็นแผนการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากบรรดาแผนการที่ตะวันตกทำลายอิส ลาม ได้รับคำยืนยันอย่างภาคภูมิใจจาก แอนท์ มาลีคัม (Ant Maligam) ว่า “เราประสบความสำเร็จในการรวบรวมบรรดาหญิงสาว (นักเรียนหญิง) ในระดับมัธยมและระดับสูงทุกชั้นปี ในวิทยาลัยตะวันตกในไคโร ไม่มีที่ใดที่เราสามารถรวบรวมหญิงสาวมุสลิมได้มากเท่านี้ เพราะไม่มีวิธีการใดที่ใกล้กว่านี้อีกแล้วในการทำลายป้อมปราการอิสลาม”
การแทรกแซงทางการศึกษาเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดของตะวันตก ในการลบล้างอะกีดะฮฺอิสลาม ในขณะเดียวกันก็เบี่ยงเบนพวกเขาให้หันออกจากอิสลาม บางคนต้องออกจากสามี หรือเพื่อนๆ พวกเขาใช้สตรีเป็นเครื่องมือในการทำลายเอกลักษณ์ของสังคมมุสลิม
หากเราพิจารณาจากแฟ้มประวัติศาสตร์แล้ว เราจะพบกับความเสื่อมเสียและความล่มสลายของชาติใดชาติหนึ่งหรือประเทศใด ประเทศหนึ่งซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยสตรีเป็นเหตุเสมอเราจะพบเห็นบ่อย ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ในเรื่องการมั่วสุมกับสตรีของบุคคลระดับประเทศ ในที่สุดก็ต้องเสียตำแหน่งของตัวเองไป เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซีย มันช่างสอดคล้องกันเหลือเกินกับคำกล่าวของท่านนบี (ศ็อลฯ) ว่า “จะไม่มีภัยพิบัติใดสำหรับชาย หลังจากฉัน (เสียชีวิต) ยิ่งไปกว่าสตรี”
จากการรายงานข่าวจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนรายงานว่า พวกผู้นำยิวได้เปิดทางให้หนุ่มอาหรับได้สังคมกับหญิงชาวยิวโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งบริเวณชายหาด และสนับสนุนให้หญิงชาวยิวได้ผิดประเวณักับหนุ่มอาหรับ และในเขตพื้นที่ที่มีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ก็จัดส่งภาพยนตร์ลามก สร้างสถานอาบอบนวด ดิสโก้เธค ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อทำลายจริยธรรมของประชาชาติอิสลามและทำ ให้พวกเขาได้ละเลยจากสนามแห่งการญิฮาด แผนการข้อนี้สอดคล้องกับกฎบัตรของยิวข้อที่ 6 ตราไว้ว่า “เรา (ยิว) จะเล่นบทบาทในการทำลายเยาวชนที่ไม่ใช่ยิว โดยพ่นสารพิษเข้าไปในความคิดของเขา ด้วยทฤษฎีและหลักการต่าง ๆ จนในที่สุดสตรีจะเป็นเครื่องมือในการบำเรอผู้ชาย ไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม”
แต่สิ่งที่ทำให้เรารูสึกหดหู่ใจเป็นอย่างหนักก็คือ ผู้ที่ไหลไปตามกระแสแห่งความหลอกลวงนี้มิใช่เฉพาะสตรีที่ไม่มีความรู้ทาง ศาสนาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสตรีที่มีความรู้เรื่องศาสนาด้วย อาจเป็นเพราะว่าอิสลามที่พวกเขายึดถือเป็นอิสลามสมัยใหม่เสียแล้ว ซึ่งมันมีท่าทีประการหนึ่งว่าเหมาะสมกับทัศนคติทางโลกนิยมที่ถูกเผย แพร่อย่างกว้างขวางแถบทุกตารางนิ้ว
นักคิดอย่าง กอเซ็ม อามีน , เชคคอลิด มูหัมหมัด คอลิด , ดุรรียะฮฺ ศอฟิก ลุตฟี , อัซซัยยิด ฏอฮา ฮูเซ็น , ซัยยิด อามีร อาลี , เมาลานา มูหัมหมัด อาลี ลาโฮร์ , ซิยาร์ โกคัลป์ , มุสตาฟา เคมาล อตาเตริก , อดีบะตุซซะมาน วาฮานี , ราเด็น อัดเจง การ์ดนี , อัซซัยยิด เชค อัลฮาดี และคนอื่น ๆ ที่เป็นพวกสมัยนิยม เช่นเดียวกับบรรดาอูลามาอฺที่อยู่ในตำแหน่งรัฐบาลจัดให้ บุคคลเหล่านี้แหละที่เป็นตัวจักรในการปลดปล่อยสตรีภายประชาชาติอิสลาม และความพยายามของพวกเขาได้รับการปรบมือจากบรรดาผู้ปฏิเสธจากมิตรชาวตะวันตก เช่น ซามูเอล สุวัยเมอร์ , เคนเนช แครก , วิลเฟรด คอนเวล , และบุคคลอื่น ๆ จากนักบูรพาคดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น